ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 500 จุดในวันอังคาร (21 ม.ค.) โดยทั้งดาวโจนส์ และ S&P 500 ต่างก็ปิดที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 เดือน เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ไม่ได้ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรแบบครอบจักรวาล หรือ Universal Tariffs อย่างที่ตลาดวิตกกังวลก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,025.81 จุด เพิ่มขึ้น 537.98 จุด หรือ +1.24%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,049.24 จุด เพิ่มขึ้น 52.58 จุด หรือ +0.88% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,756.78 จุด เพิ่มขึ้น 126.58 จุด หรือ +0.64%
หลังเสร็จสิ้นพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 เมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) ปธน.ทรัมป์ไม่ได้ประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรแบบครอบจักรวาล ซึ่งเป็นมาตรการที่จะส่งผลกระทบต่อสินค้าทุกรายการที่มีการนำเข้าสู่สหรัฐฯ และไม่ได้ประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในทันที อย่างไรก็ดี ปธน.ทรัมป์กล่าวว่าเขากำลังพิจารณาเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.
โกลด์แมน แซคส์ได้ปรับลดการคาดการณ์โอกาสที่ปธน.ทรัมป์จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรแบบครอบจักรวาลลงเหลือ 25% จากที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนธ.ค.ที่ระดับ 40%
แครอล ชไลฟ์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การตลาดจากบริษัท BMO Private Wealth กล่าวว่า ตลาดคลายความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่ทรัมป์ไม่ได้กล่าวถึงมาตรการภาษีศุลกากรแบบครอบจักรวาลในการบริหารงานวันแรก โดยตลาดมองว่ารัฐบาลอาจจะใช้แนวทางที่รอบคอบระมัดระวังมากขึ้น ด้วยการใช้มาตรการภาษีศุลกากรเป็นกลยุทธ์ในการเจรจาต่อรอง แต่ไม่ใช้เพื่อสร้างความขัดแย้ง
หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพุ่งขึ้น 2.03% โดยหุ้นกลุ่มดังกล่าวได้รับปัจจัยหนุนจากหุ้น 3M ที่พุ่งขึ้น 4.16% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรและรายได้ที่สูงเกินคาดในไตรมาส 4/2567
หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคพุ่งขึ้น หลังจากปธน.ทรัมป์ลงนามในคำสั่งหลายฉบับที่มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มการผลิตพลังงาน โดยหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในกลุ่มนี้ได้แก่หุ้น Vistra Corp, หุ้น NRG Energy และหุ้น Constellation Energy
หุ้นโมเดอร์นา (Moderna) ทะยานขึ้น 5.3% หลังจากบริษัทได้รับเงินสนับสนุนมูลค่า 590 ล้านดอลลาร์จากรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อเร่งการพัฒนาวัคซีนป้องกันไข้หวัดนก
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์