ทองคำพุ่งสูง! ทรัมป์จุดกระแส Repeg ทองคำ ท่ามกลางสงครามการค้า
Gold Bullish
- ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น
- ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง
- ความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้ารอบใหม่
Gold Bearish
- เฟดชะลอการปรับลดดอกเบี้ย
ทองคำพุ่งสูง! ทรัมป์จุดกระแส Repeg ทองคำ ท่ามกลางสงครามการค้า
ราคาทองคำยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง จากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า ซึ่งก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้ากับจีน ทำให้จีนได้มีการตอบโต้กลับ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐในอัตรา 15% และเรียกเก็บภาษีนำเข้าน้ำมันดิบ อุปกรณ์ด้านการเกษตร และรถยนต์บางประเภท ในอัตรา 10% โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. นอกจากนี้ทรัมป์ยังทำสงครามการค้ากับทุกประเทศ โดยทรัมป์ลงนามในคำสั่งบริหารเพื่อปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมเป็นอัตรา 25% โดยไม่มีข้อยกเว้นสำหรับประเทศใด ๆ ทั้งสิ้น มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 มี.ค. 2568 เป็นต้นไป โดยให้เหตุผลว่าเป็นการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศและลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ และล่าสุดทรัมป์จะเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์และยาในอัตรา 25% ซึ่งความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่เกิดขึ้น อาจทำให้เกิดสงครามการค้าขยายวงกว้าง เกิดการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มความตึงเครียดทางการค้าและส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ปัจจัยดังกล่าวยังคงติดตามต่อเนื่องในสัปดาห์นี้
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามเพิ่มเติม ได้แก่ การเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงยุติสงครามในยูเครน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวผู้แทนรัสเซีย-สหรัฐจะประชุมเรื่องยุติสงครามยูเครนอีกครั้งใน 2 สัปดาห์หน้า และกระแสข่าวเกี่ยวกับทรัมป์จะทำการ repeg ทองคำสำรองทั้งหมดที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาถือครอง
ทรัมป์กับแนวคิด Repeg ทองคำ: มีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่?
ในช่วงที่ผ่านมามีกระแสข่าวเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะทำการ repeg ทองคำสำรองทั้งหมดที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาถือครอง อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าทรัมป์มีแผนดำเนินการในเรื่องนี้ แต่มีรายงานว่าเขาและอีลอน มัสก์ อาจต้องการตรวจสอบปริมาณทองคำที่ Fort Knox เพื่อยืนยันว่าทองคำสำรองของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ครบถ้วน ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าข่าวการที่ทรัมป์ให้มีการตรวจสอบทอง ในฟอร์ดน็อค น่าจะเป็นประเด็นพอสมควร เพราะที่ผ่านมา ในช่วงที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก ทรัมป์มีความพยายามที่จะให้มีการตรวจสอบทองคำ ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ โดยในช่วงที่หาเสียง ช่วงก่อนเป็นประธานาธิบดีสมัยแรกนั้น ทรัมป์เคยพูดในลักษณะที่ทำให้เห็นว่าเขาชื่นชมในระบบ Gold Standard แต่เขาพูดในภายหลังว่า ประเด็นสำคัญคือสหรัฐมีทองจริงหรือเปล่า ตรงนี้น่าจะเป็นเหตุที่ทรัมป์พยายามจะตรวจสอบทองคำว่ามีอยู่จริงครบตามจำนวนที่มีการรายงานหรือไม่
แม้ว่าทรัมป์และกลุ่มที่สนับสนุนแนวคิดระบบ Gold Standard นี้อาจมองว่าเป็นวิธีฟื้นฟูเสถียรภาพของดอลลาร์และลดอิทธิพลของเฟด แต่โอกาสที่จะเกิดขึ้นจริงนั้น มีน้อยมาก เนื่องจาก ปริมาณทองคำสำรองของสหรัฐฯ ไม่เพียงพอ – ปัจจุบัน สหรัฐฯ ถือครองทองคำสำรองประมาณ 8,133 ตัน แต่ปริมาณเงินดอลลาร์ที่หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจมีขนาดใหญ่กว่านั้นหลายเท่า การกลับไปใช้ระบบมาตรฐานทองคำจะสร้างข้อจำกัดมหาศาลต่อระบบการเงิน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออำนาจของเฟด
หรือแม้แต่การ pegging ดอลลาร์กับทองคำก็อาจจะลดความสามารถของธนาคารกลางในการกำหนดนโยบายการเงิน ซึ่งอาจสร้างปัญหาต่อการควบคุมเงินเฟ้อและการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเกิดแรงกดดันทางการเมืองและเศรษฐกิจ – แม้พรรครีพับลิกันบางกลุ่มสนับสนุนแนวคิดนี้ แต่แรงกดดันจากนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ นักลงทุน และหน่วยงานกำกับดูแลจะทำให้แนวคิดนี้เผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก
หากทรัมป์ต้องการเดินหน้ากลับไปใช้ระบบ Gold Standard จริง เขาอาจต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ เช่น การเพิ่มปริมาณทองคำสำรองของสหรัฐฯ ได้แก่ ซื้อทองคำในตลาดโลก บังคับให้ประชาชนขายทองคำให้รัฐบาล เก็บภาษีหรือจำกัดการถือครองทองคำส่วนตัว แต่กรณีนี้นั้นการบังคับซื้อทองคำจากประชาชนอาจถูกต่อต้านอย่างหนัก และหากรัฐบาลซื้อทองคำจำนวนมากในตลาด อาจกระทบต่อตลาดโลกและทำให้ราคาทองคำสูงขึ้น จนรัฐบาลไม่สามารถซื้อได้มากพอ
หรือ การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ (Repeg)ถ้าทรัมป์ต้องการ pegging ดอลลาร์กับทองคำจริง เขาต้องกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ รวมถึงประกาศให้ดอลลาร์สามารถแลกเป็นทองคำได้ ซึ่งต้องมีทองคำสำรองเพียงพอ และ ปรับโครงสร้างหนี้สหรัฐฯ เพราะหากอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ทำให้ดอลลาร์แข็งค่ามาก หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ อาจมีปัญหา ซึ่งปัจจุบัน ปริมาณเงินดอลลาร์ที่หมุนเวียนมีมากกว่าทองคำสำรองหลายเท่า การ pegging ดอลลาร์กับทองคำจะทำให้เกิดข้อจำกัดอย่างมาก และเฟดจะสูญเสียอำนาจในการกำหนดนโยบายการเงิน
อีกทางเลือกหนึ่งที่เป็นไปได้ คือ ทรัมป์อาจผลักดันให้ใช้ เงินดิจิทัลที่อิงทองคำ (Gold-Backed Digital Dollar) ได้แก่ ออกสกุลเงินดิจิทัลของสหรัฐฯ คล้ายกับ CBDC (Central Bank Digital Currency) แต่มีทองคำค้ำประกัน ใช้ร่วมกับดอลลาร์เดิม เพื่อเปลี่ยนผ่านระบบค่อยเป็นค่อยไป และ ส่งเสริมให้ประชาชนใช้เงินดิจิทัลแทนเงินสด วิธีนี้อาจมีนักการเมืองและนักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากอาจไม่สนับสนุน เพราะอาจลดอำนาจของเฟดและอาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินโลก
แนวโน้มราคาทองคำสัปดาห์นี้
มีสัญญาณการย่อตัวลงของราคาทองคำ จึงยังคงต้องระวังการเข้าซื้อ จึงแนะนำเข้าซื้อเมื่อราคาทองคำย่อตัวลงมาบริเวณแนวรับ 2,900 ดอลลาร์ และแนวรับ 2,870 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองคำมีแนวต้าน 2,960 ดอลลาร์ และ 2,980 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองคำแท่งในประเทศมีแนวรับ 46,400 บาท และ 46,100 บาท ส่วนแนวต้าน 46,900 บาท และ 47,000 บาท