ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (10 ธ.ค.) เนื่องจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาด ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในการประชุมสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,247.83 จุด ลดลง 154.10 จุด หรือ -0.35%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,034.91 จุด ลดลง 17.94 จุด หรือ -0.30% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,687.24 จุด ลดลง 49.45 จุด หรือ -0.25%
โมนา มาฮาจาน หัวหน้านักกลยุทธ์ด้านการลงทุนจากบริษัท Edward Jones กล่าวว่า นักลงทุนรอดูการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในวันนี้ และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในวันพฤหัสบดี โดยคาดหวังว่าตัวเลขเงินเฟ้อทั้งสองรายการจะไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของเฟดในการประชุมสัปดาห์หน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากดัชนี CPI ออกมาสอดคล้องกับการคาดการณ์ นักลงทุนก็จะมีความมั่นใจมากขึ้นว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในการประชุมสัปดาห์หน้า
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 86% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค.
ลินด์เซย์ เบลล์ หัวหน้านักกลยุทธ์จากบริษัท 248 Ventures กล่าวว่า นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่สหรัฐฯ จะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ว่าเฟดจะยุติวงจรการผ่อนคลายนโยบายการเงินในเดือนม.ค.ปีหน้าหรือไม่ หลังจากเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายได้ออกมาแสดงความเห็นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เฟดควรชะลอการผ่อนคลายนโยบายการเงิน เมื่อพิจารณาจากเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว
หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มเทคโนโลยี ร่วงลง 1.63% และ 1.26% ตามลำดับ ส่วนหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารและกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ดีดตัวขึ้น 2.61% และ 0.50% ตามลำดับ
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้รับแรงกดดันจากหุ้นบริษัทออราเคิล (Oracle) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติง โดยราคาหุ้นร่วงลง 6.67% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีท
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังได้รับผลกระทบจากรายงานข่าวที่ว่า สำนักงานควบคุมกฎระเบียบตลาดของจีน (SAMR) ได้เปิดฉากการสอบสวนกรณีที่บริษัทอินวิเดีย (Nvidia) อาจละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดตลาดของจีน ขณะที่นักลงทุนมองว่าการดำเนินการดังกล่าวของจีนเป็นการตอบโต้สหรัฐฯ ที่ประกาศห้ามการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปยังบริษัทจีนจำนวน 140 แห่ง ซึ่งรวมถึงบริษัทผลิตชิปของจีน
ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวได้ฉุดหุ้นอินวิเดีย ร่วงลง 2.7% และยังส่งผลให้ดัชนีหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ที่ตลาดหุ้นฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia SE Semiconductor Index) ดิ่งลง 2.5%
หุ้นวอลกรีนส์ บู้ทส์ อัลลิอันซ์ (Walgreens Boots Alliance) ซึ่งเป็นเครือข่ายร้านขายยาขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ทะยานขึ้น 17.7% หลังจากมีรายงานว่าวอลกรีนส์กำลังเจรจาขายกิจการให้กับบริษัทไซคามอร์ พาร์ตเนอร์ส (Sycamore Partners)
หุ้นโบอิ้ง (Boeing) ดีดตัวขึ้น 5.5% หลังจากสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า โบอิ้งเริ่มกลับมาดำเนินการผลิตเครื่องบินรุ่น 737 MAX อีกครั้งในสัปดาห์ที่แล้ว
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนี CPI ของสหรัฐฯ ในวันนี้ เวลาประมาณ 20.30 น.ตามเวลาไทย ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะปรับตัวขึ้น 2.7% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.6% ในเดือนต.ค. และคาดว่าดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะปรับตัวขึ้น 3.3% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนต.ค.
ที่มา สํานักข่าวอินโฟเควสท์