ประเด็นร้อนแรงที่ต้องจับตา หลัง 1 สัปดาห์ที่
“ทรัมป์” กลับมารับตำแหน่ง: จุดเปลี่ยนโลกที่น่าตื่นเต้น!
“ทรัมป์ 2.0” ดันราคาทองคำปรับตัวขึ้นร้องแรงใกล้ระดับ All-Time High
ในช่วงสัปดาห์แรกหลังจาก “นายโดนัลด์ ทรัมป์” กลับมารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ตลาดทองคำปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจนเข้าใกล้ระดับ All-Time High การลงนามคำสั่งบริหารชุดแรกและคำแถลงการณ์ที่ชัดเจนแต่ทรงพลังของทรัมป์ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของตลาดโลกและสร้างความผันผวนในหลากหลายสินทรัพย์
ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาในระยะถัดไป
1. แผนขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์: ความไม่แน่นอนและผลกระทบทางเศรษฐกิจ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขู่แผนขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% และจากจีน 10% โดยให้เหตุผลว่าเป็นการรักษาความมั่นคงชายแดนและการต่อสู้กับยาเสพติด เช่น เฟนทานิล ที่ไหลเข้าสหรัฐฯ ผ่านเม็กซิโกและแคนาดา และอาจขัดแย้งกับข้อตกลงการค้าเสรี USMCA ซึ่งทรัมป์เองเป็นผู้ลงนามในสมัยแรก โดยข้อตกลง USMCA ระบุว่าการขึ้นภาษีระหว่างประเทศสมาชิกต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนและเป็นไปตามข้อกำหนดในข้อตกลง โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งชาติ กรณีนี้อาจถือเป็นการละเมิดหลักการนี้ หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผลตามกฎหมายข้อตกลง USMCA ยังมีเงื่อนไขการทบทวนทุก 6 ปี โดยการทบทวนครั้งแรกจะเกิดขึ้นในปี 2026 ซึ่งทรัมป์อาจใช้การขึ้นภาษีเป็นเครื่องมือในการเจรจาเงื่อนไขใหม่กับเม็กซิโกและแคนาดาในการทบทวนข้อตกลง
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น อุตสาหกรรมต่างๆ ในอเมริกาเหนือ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และพลังงาน อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทาน เม็กซิโกและแคนาดาอาจยื่นคำร้องต่อองค์กรระงับข้อพิพาทภายใต้ USMCA ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับเม็กซิโกและแคนาดาอาจตึงเครียดขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีความต้องการทองคำในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังมีความไม่แน่นอนและกลับไปกลับมาในท่าทีของเขา ล่าสุดเขาให้สัมภาษณ์ว่าไม่อยากเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน สร้างความสับสนให้กับตลาด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทรัมป์คือความไม่แน่นอน
2. นโยบายพลังงานของทรัมป์: ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐและราคาทองคำ
การที่ทรัมป์ถอนสหรัฐฯ จากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อมุ่งเน้นการเพิ่มการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล ผ่อนปรนกฎระเบียบการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติเพื่อลดราคาพลังงานในสหรัฐ ซึ่งตรงนี้อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดความขัดแย้งทางยุโรป จากนโยบาย CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของยุโรปที่มุ่งลดการปล่อยคาร์บอนอาจกระทบต่อการส่งออกของสหรัฐฯ ที่ผลิตจากอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิลอาจต้องเผชิญต้นทุนคาร์บอนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะลดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ทำให้สหรัฐยังอาจเผชิญความเสี่ยงที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ จากต้นทุนการค้าสูงขึ้น ทั้งนี้นักลงทุนทั่วโลกเริ่มให้ความสำคัญกับ ESG การมุ่งเน้นเชื้อเพลิงฟอสซิลอาจทำให้สหรัฐฯ สูญเสียการลงทุนจากกลุ่มที่คำนึงถึงความยั่งยืน และมีความเสี่ยงที่จะเกิดความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์
การที่ทรัมป์ ได้เรียกร้องให้ซาอุดีอาระเบียและกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ปรับลดราคาน้ำมันจะช่วยลดต้นทุนพลังงานในสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจ และเป็นช่วยลดรายได้ของรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ อาจช่วยยุติสงครามในยูเครน แต่การกระทำดังกล่าวอาจส่งผลลบต่อผู้ผลิตน้ำมันในสหรัฐ อุตสาหกรรมน้ำมันที่สำคัญของสหรัฐ อุตสาหกรรม Shale Oil มีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าการผลิตน้ำมันแบบดั้งเดิมในประเทศ OPEC ต้นทุนการผลิต Shale Oil อยู่ที่ประมาณ 40-60 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในขณะที่ประเทศ OPEC สามารถผลิตน้ำมันได้ในราคาเพียง 10-20 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ดังนั้น หากราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงต่ำกว่าจุดคุ้มทุน ผู้ผลิต Shale Oil ในสหรัฐจะเริ่มขาดทุน และอุตสาหกรรม Shale Oil เป็นแหล่งจ้างงานที่สำคัญในหลายรัฐของสหรัฐ เช่น เท็กซัส นอร์ทดาโคตา และเพนซิลเวเนีย หากบริษัทน้ำมันต้องลดการผลิตหรือปิดตัวลง จะส่งผลให้มีการเลิกจ้างงานจำนวนมาก และอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐโดยรวม เนื่องจากภาคพลังงานเป็นส่วนสำคัญของ GDP ของสหรัฐ โดยอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ โดยทั่วไปคิดเป็นประมาณ 6-8% ของ GDP ในช่วงที่ราคาน้ำมันสูง
“จากมุมมองของราคาทองคำ ในช่วงที่เศรษฐกิจเกิดความไม่แน่นอนและแรงกดดันจากภาคพลังงาน นักลงทุนอาจหันมาสนใจทองคำมากขึ้นในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยในช่วงเวลาที่ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น”
3. นโยบายการตรวจคนเข้าเมือง (Immigration Policy)
การประกาศภาวะฉุกเฉินที่ชายแดนและการส่งทหารไปสนับสนุนหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองอาจสร้างความตึงเครียดทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโก หากนำไปสู่การตอบโต้ทางเศรษฐกิจ เช่น การปรับภาษีหรือข้อจำกัดการค้า ซึ่งอาจกระทบต่ออุตสาหกรรมสำคัญในทั้งสองประเทศ เช่น ยานยนต์และเกษตรกรรม ยังส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน หากมีการเพิ่มข้อจำกัดในการข้ามพรมแดนหรือการค้า อาจทำให้ต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้น และส่งผลต่อราคาผู้บริโภค (CPI) ในสหรัฐฯ เนื่องจากการเนรเทศแรงงานต่างชาติที่ไม่มีเอกสารอาจส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานในบางอุตสาหกรรม เช่น เกษตรกรรม การก่อสร้าง และการบริการ ซึ่งเป็นกลุ่มที่พึ่งพาแรงงานอพยพ และการส่งกำลังทหารและการดำเนินมาตรการตรวจคนเข้าเมืองต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ซึ่งอาจเพิ่มภาระต่อการใช้จ่ายภาครัฐ ทั้งนี้ความตึงเครียดจากนโยบายชายแดนสามารถเพิ่มความไม่แน่นอนในตลาดโลก นักลงทุนมักมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ ส่งผลให้ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
4. ความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์
ทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งระงับการให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาต่างประเทศเป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้เกิดความกังวลในหลายประเทศ โดยเฉพาะยูเครนที่พึ่งพาความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ทรัมป์ได้กดดันรัสเซียด้วยมาตรการคว่ำบาตร หากรัสเซียไม่ยอมเจรจา ซึ่งอาจเพิ่มความไม่แน่นอนในตลาดและกระตุ้นให้มีการซื้อทองคำ ความตึงเครียดในตะวันออกกลางก็อาจเพิ่มขึ้น เมื่อทรัมป์อนุมัติการส่งระเบิดให้แก่ อิสราเอล ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ตึงเครียดมากขึ้น หากสถานการณ์ลุกลามเป็นสงครามรุนแรง ราคาทองคำก็อาจปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงวิกฤต นอกจากนี้ ราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นก็มีส่วนผลักดันราคาทองคำสูงขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้นโยบายของทรัมป์ 2.0 คาดว่ายังหนุนราคาทองคำในระยะยาว โดยคาดการณ์ว่าเป้าหมายราคาทองคำโลกในปีนี้จะอยู่ในช่วง 2,500-3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ราคาทองคำแท่งในประเทศมีแนวโน้มอยู่ในช่วง 42,500-46,800 บาท