ปีหน้ามีโอกาสที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยน้อยลง
Gold Bullish
- ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น
- ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง
- ธนาคารกลางจีนกลับมาซื้อทองคำสำรอง
Gold Bearish
- แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า
- เฟดชะลอการปรับลดดอกเบี้ย
ปีหน้ามีโอกาสที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยน้อยลง
นับว่าปีนี้เฟดได้ปรับลดดอกเบี้ยลงแรง จากเดิมในช่วงต้นปีอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ที่ระดับ 5.25-5.50% แต่ในช่วงการประชุมเฟดในเดือนก.ย. เฟดมีมติลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% เหลือระดับ 4.75%-5.0% ถือเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดในรอบกว่า 4 ปี โดยประธานเฟดได้ให้เหตุผลว่าการที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% สู่ระดับ 4.75-5.00% จะช่วยให้เศรษฐกิจและตลาดแรงงานยังคงมีความแข็งแกร่ง และให้เงินเฟ้อปรับตัวสู่เป้าหมาย และยังไม่เห็นสัญญาณใดๆ ชี้ว่า เศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ และต่อมาในการประชุมเฟดในเดือนพ.ย. ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ที่ 4.50%-4.75% การปรับลดครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ใกล้เป้าหมาย 2% และหลีกเลี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการปรับลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ของเฟดได้เกิดขึ้นภายหลังทราบผลความชัดเจนของผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ปรากฎว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้มีชัยชนะต่อการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในปีนี้ ทั้งนี้ประธานเฟดได้ชี้ว่าการที่โดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยชนะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ได้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของเฟดและไม่สามารถไล่ประธานเฟดออกจากตำแหน่งได้ทางกฎหมาย และหากว่าการประชุมเฟดในเดือนธ.ค. ที่จะเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 17-18 ธ.ค. โดยเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของเฟดในปีนี้ และเป็นการเปิดเผย Fed Dot Plot ครั้งสุดท้ายของปีนี้ หากเฟดมีมติปรับลดดอกเบี้ยอีก 0.25% จะเป็นการปรับลดดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายในปีนี้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยมาอยู่ที่ระดับ 4.25%-4.50% ซึ่งถือว่าปีนี้เฟดได้มีการปรับลดดอกเบี้ยรวมกว่า 1%
แต่สิ่งที่สำคัญนั่นคือ ข้อมูล Dot Plot เดือนธ.ค.ของเฟด และการแถลงของประธานเฟด ที่อาจเห็นสัญญาณของทิศทางดอกเบี้ยในปีหน้า เนื่องจากข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดมีสัญญาณที่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น นอกจากนี้นโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปีหน้า มีแนวโน้มที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของอัตราเงินเฟ้ออาจกลับมาพุ่งสูงขึ้น ด้วยนโยบายเกี่ยวกับผู้อพยพที่เข้มงวด ที่อาจทำให้ต้นทุนแรงงานสูงขึ้น และนโยบายการการค้า นโยบายของทรัมป์คือ America First เสนอให้จัดเก็บภาษีสินค้าจีนอัตรา 60% และจัดเก็บภาษีขั้นต่ำ 10% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด อีกทั้งล่าสุดนายโดนัลด์ ทรัมป์อาจจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก 10% จากสินค้าจีน และ 25% จากสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งมาตราการดังกล่าวมีความเสี่ยงที่ทำให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้น ขณะที่การเก็บภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก อาจทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวสูงขึ้น โดยมาตรการดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะทำให้โรงกลั่นในสหรัฐฯ ต้องซื้อน้ำมันในราคาที่แพงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อกำไร ราคาสินค้าเกษตรในสหรัฐฯอาจปรับตัวสูงขึ้นในปีหน้า และผู้บริโภคอาจเผชิญกับภาวะขาดแคลนสินค้า เนื่องจากทั้งสองประเทศถือเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่ที่สุด 2 อันดับแรกของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลให้สหรัฐจะเผชิญต่อภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้นโยบายของทรัมป์ นักลงทุนได้เชื่อมั่นว่าจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งขึ้นในปีหน้า ซึ่งน่าจะเหลือช่องว่างให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยน้อยลง เราจึงคาดการณ์ว่าข้อมูล Dot Plot เดือนธ.ค.ของเฟดที่จะเปิดเผยในสัปดาห์หน้านั้น อาจมีสัญญาณให้เห็นว่าเฟดอาจจะเริ่มชะลอการปรับลดดอกเบี้ยในปีหน้า ซึ่งอาจทำให้ดอลลาร์แข็งค่า กดดันราคาทองคำปรับตัวลงในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าระยะสั้นราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลง แต่ราคาทองคำยังมีหลายปัจจัยหนุนไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงครามในตะวันออกกลาง สงครามรัสเซีย-ยูเครน ความตึงเครียดระหว่างจีนกับไต้หวัน ที่อาจสร้างแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย รวมถึงแรงซื้อทองคำสำรองต่อเนื่องในปีหน้าจากธนาคารกลางทั่วโลก ซึ่งอาจยังหนุนให้ทิศทางทองคำขาขึ้นในระยะยาว ทั้งนี้ในเชิงระยะยาวนั้น ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อและทำ All-Time High อีกครั้งในปีหน้า โดยมีโอกาสพุ่งทะลุ 3,000 ดอลลาร์ สู่ระดับ 3,000-3,100 ดอลลาร์ในปีหน้า
ราคาทองคำปรับตัวลงแรง 2 วันติดต่อกัน ทำให้แนวโน้มราคาทองคำไม่สดใส คาดว่าราคาทองคำอาจปรับตัวลงได้ต่อ อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาทองคำยังยืนเหนือ 2,600 ดอลลาร์ โดยราคาทองคำมีแนวรับ 2,600 ดอลลาร์ และแนวรับถัดไปที่ 2,580 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาทองคำมีแนวต้าน 2,680 ดอลลาร์ และแนวต้าน 2,700 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองแท่งในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวลง แต่คาดว่ายังยืนเหนือระดับ 41,800-42,000 บาทได้ โดยมีแนวรับ 42,400 บาท และแนวรับถัดไป 42,000 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 43,300 บาท และ 43,500 บาท