ทองคำโลกทะลุ สงครามการค้ายังคงหนุน
Gold Bullish
- สหรัฐฯ–จีนตึงเครียด ดันทองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
- บริษัทประกันจีนลงทุนทองคำได้ 1% ของสินทรัพย์รวม
- Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยครึ่งปีหลัง
- เศรษฐกิจโลกชะลอ นักลงทุนแห่ซื้อทอง
Gold Bearish
- แรงขายทำกำไรหลังราคาพุ่ง
- Fed ยังไม่ลดดอกเบี้ยจริง อาจผิดหวัง
- ค่าเงินบาทแข็ง กดดันราคาทองในประเทศ
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
ในช่วงกลางเดือนเมษายน 2025 ราคาทองคำพุ่งขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเช้านี้ราคาพึ่งขึ้นเหนือระดับ $3,360 ต่อออนซ์ สาเหตุหลักมาจากนโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีนสูงสุดถึง 145% ส่งผลให้จีนตอบโต้ด้วยการระงับการส่งมอบเครื่องบินจาก Boeing และจำกัดการส่งออกชิป AI จากบริษัท Nvidia ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทถึง $5.5 พันล้านดอลลาร์ ความตึงเครียดนี้ทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวน นักลงทุนหันมาถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เข้าซื้อทองคำจากการที่บริษัทประกันของจีน
แรงหนุนจากบริษัทประกันจีนยังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่น่าจับตาในตลาดทองคำช่วงนี้ โดยเมื่อช่วงต้นปี 2025 ทางการจีนได้อนุญาตให้บริษัทประกันภัยภายในประเทศสามารถจัดสรรเงินลงทุนในทองคำได้สูงสุดถึง 1% ของสินทรัพย์รวม ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการเปิดกว้างเช่นนี้ในระดับนโยบาย จุดประสงค์หลักของมาตรการนี้คือการเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูง บริษัทประกันรายใหญ่ของจีน เช่น Ping An Insurance และ China Life Insurance ได้เริ่มทยอยเข้าซื้อทองคำผ่านทั้งกองทุน ETF ที่มีทองคำหนุนหลัง ตลอดจนตราสารอนุพันธ์ที่อิงกับราคาโลหะมีค่าเหล่านี้ ซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดทองคำอย่างมีนัยสำคัญ แม้เม็ดเงิน 1% อาจดูไม่มากเมื่อเทียบกับสัดส่วนโดยรวม แต่เมื่อพิจารณาจากขนาดสินทรัพย์รวมของบริษัทประกันในจีนซึ่งมีมูลค่าหลายล้านล้านหยวน การเคลื่อนย้ายเงินจำนวนนี้ก็สามารถสร้างแรงหนุนต่อราคาทองคำในระดับสากลได้ในระยะกลางถึงยาว อีกทั้งยังสะท้อนถึงแนวโน้มที่นักลงทุนสถาบันเริ่มกลับมาให้ความสำคัญกับทองคำในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงินที่ไม่แน่นอนมากขึ้นเรื่อยๆ
นโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
แม้ว่า Fed จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 4.25%–4.50% แต่ประธาน Jerome Powell ได้เตือนว่าภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวและเงินเฟ้อสูงขึ้น นักลงทุนคาดการณ์ว่า Fed อาจเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 หากเศรษฐกิจแสดงสัญญาณอ่อนแอลง การคาดการณ์นี้ส่งผลให้ความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงทำให้ต้นทุนในการถือครองทองคำลดลง และเพิ่มความน่าสนใจของทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง
ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก
องค์กรการค้าโลก (WTO) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของการค้าโลกจาก +2.7% เป็น -0.2% เนื่องจากผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากร ขณะเดียวกัน สหประชาชาติคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตเพียง 2.3% ในปี 2025 ความไม่แน่นอนนี้กระตุ้นให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำมากขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การคาดการณ์ราคาทองคำจากสถาบันการเงิน
- Goldman Sachs คาดว่าราคาทองคำอาจแตะ $3,700–$4,500 ต่อออนซ์ หากความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยเพิ่มขึ้น
- Citigroup ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาทองคำในระยะ 3 เดือนเป็น $3,500 ต่อออนซ์
- UBS และ Bank of America ตั้งเป้าราคาทองคำที่ $3,500 ต่อออนซ์ ภายในสิ้นปี 2025
แนวโน้มราคาทองในสัปดาห์
ราคาทองโลกในสัปดาห์นี้ สามารถทะลุแนวต้านสำคัญที่ระดับ 3,360 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นต้านสำคัญในสัปดาห์ก่อน แนวโน้มจึงมีโอกาสที่จะขึ้นทดสอบแนวต้านสำคัญถัดไปที่ระดับ 3,410 และ 3,515 ดอลลาร์ตามลำดับ
สำหรับผู้ที่เก็งกำไรระยะสั้นอาจเสียงเข้าซื้อไล่ราคา โดยมีเป้าหมายทำกำไรที่ 3,410 และ 3,515 ดอลลาร์ (เทียบเป็นทองไทยบาทละ 53,500 และ 55,100 บาทตามลำดับ) สำหรับนักลงทุนที่ต้องการซื้อเพื่อลงทุนอาจรอการปรับฐานลงสู่แนวรับที่ 3,315 และ 3,245 ดอลลาร์ (เทียบเป็นทองไทยบาทละ 52,000 และ 50,900 บาทตามลำดับ) หากอิงค่าเงินบาทที่ระดับ 33.20 บาท ซึ่งกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย