ทองคำมีโอกาสทำ All-time high ใหม่อีกครั้ง
Gold Bullish
- ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น
- ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง
- ทิศทางดอกเบี้ยขาลง
- ความไม่แน่นอนต่อผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
Gold Bearish
- การหยุดซื้อทองคำของธนาคารกลางจีน
ทองคำมีโอกาสทำ All-time high ใหม่อีกครั้ง
ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงมีแรงซื้อทองคำอย่างแข็งแกร่งดันราคาทองคำปรับตัวขึ้นเข้าใกล้ระดับ All-time high ซึ่งราคาทองคำเมื่อวันศุกร์ได้ปิดตลาดใกล้เคียงกับราคา High ซึ่งมีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นได้ต่อ ทั้งนี้ราคาทองคำมีแนวโน้มทิศทางขาขึ้นในระยะยาว และในระยะสั้นราคาทองคำยังมีปัจจัยหนุนเข้ามาซึ่งมีโอกาสที่อาจทำให้ราคาทองคำอาจทำ All-Time high อีกครั้ง โดยประเด็นดังกล่าวที่ยังคงต้องติดตามที่ยังคงสร้างแรงหนุนต่อราคาทองคำ ดังต่อไปนี้
สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยอิสราเอลได้โจมตีเป้าหมายทางทหารในอิหร่าน ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับสงครามที่ขยายวงกว้างขึ้นในตะวันออกกลาง
ความไม่แน่นอนในผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2024 จะจัดขึ้นในวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน แม้ผลสำรวจหลายสำนักล่าสุดพบว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ มีคะแนนนำเหนือกมลา แฮร์ริส และหากนายโดนัลด์ ทรัมป์มีชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในครั้งนี้ก็อาจส่งผลบวกต่อราคาทองคำ อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจคะแนนระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์และกมลา แฮร์ริสค่อนข้างมีความสูสีกันมาก ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้จึงเป็นที่คาดเดาได้ยากมากกว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในครั้งก่อน ๆ นอกจากนี้การเลือกตั้งสหรัฐปี 2024 ส่งผลต่อราคาทองคำอย่างมาก เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจส่งผลให้ราคาทองคำสูงขึ้น โดยทองคำมักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่มีความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ การแข่งขันที่เข้มข้นระหว่างกมลา แฮร์ริสและนายโดนัลด์ ทรัมป์กระตุ้นความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับนโยบายที่จะเปลี่ยนไป ซึ่งอาจส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ และหนี้สาธารณะของสหรัฐ ปัจจุบันราคาทองคำยังคงอยู่ในระดับสูงเนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐมีปัญหาทางการคลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น การเลือกตั้งที่อาจมีผลลัพธ์ที่ไม่ชัดเจนหรือมีการโต้แย้ง อาจทำให้นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะถือครองทองคำเพิ่มมากขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีความไม่แน่นอนต่อเนื่องหลังการเลือกตั้ง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาทองคำยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ในวันที่ 6-7 พฤศจิกายน คาดว่าจะส่งผลกระทบสำคัญต่อราคาทองคำ เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดภาระทางเศรษฐกิจ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเช่นนี้มักส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง ทำให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำมากขึ้น ซึ่งมักจะมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย
สำหรับกลุ่ม BRICS ที่มีการหารือจัดตั้งตลาดโลหะมีค่า โดยการกระจายอำนาจและลดอิทธิพลของตะวันตก เพื่อกระจายอำนาจการกำหนดราคาและหลีกเลี่ยงการพึ่งพาตลาดที่ถูกควบคุมโดยประเทศตะวันตก ซึ่งอาจทำให้ราคาทองคำมีความเสถียรภาพมากขึ้นและลดความผันผวนจากการควบคุมโดยตลาดตะวันตก เพิ่มความต้องการทองคำ: หาก BRICS ใช้ทองคำเป็นหลักในการซื้อขายหรือเป็นสกุลเงินสำรองของกลุ่ม ก็อาจเพิ่มความต้องการและราคาทองคำในตลาดโลก เนื่องจากสมาชิก BRICS เริ่มสะสมทองคำเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรัสเซียและจีนยังคงเพิ่มทุนสำรองทองคำของตนเองต่อไป ปัจจัยเสถียรภาพในระยะยาว: การที่กลุ่ม BRICS สร้างมาตรฐานการค้าทองคำระหว่างกันอาจส่งผลให้ราคาทองคำในระยะยาวมีเสถียรภาพมากขึ้น เพราะกลุ่มนี้มีการกำหนดตัวชี้วัดราคาและมาตรฐานการค้าเอง ลดผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์สหรัฐและความเสี่ยงจากนโยบายการเงินของตะวันตก ซึ่งปัจจัยดังกล่าวก็อาจส่งผลบวกต่อราคาทองคำในระยะยาวเช่นกัน
ราคาทองคำเคลื่อนไหวใกล้ All-time high และยังคงมีแรงซื้อทองคำอย่างแข็งแกร่ง คาดว่าราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น โดยราคาทองคำมีแนวรับ 2,730 ดอลลาร์ และ 2,700 ดอลลาร์ และราคาทองคำมีแนวต้าน 2,758 ดอลลาร์ และแนวต้าน 2,770 ดอลลาร์ ส่วนแนวโน้มราคาทองแท่งในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น ตามราคาทองคำโลก โดยมีแนวรับ 43,500 บาท และ 43,300 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 43,900 บาท และ 44,000 บาท