จีนประกาศเพิ่มงบประมาณกลาโหม 7.2% ในปี 2568 ในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญอุปสรรคจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ซบเซามาเป็นเวลาสามปี ท่ามกลางความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่ประเด็นไต้หวันไปจนถึงสงครามยูเครน
รายงานที่รัฐบาลเตรียมนำเสนอต่อรัฐสภาระบุว่า งบกลาโหมในปีนี้เพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกับปีที่แล้ว
การเพิ่มงบกลาโหม 7.2% ยังคงสูงกว่าเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ซึ่งกำหนดไว้ที่ประมาณ 5% โดยนักวิเคราะห์ระบุว่าเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ และสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของจีนในการเดินหน้าปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัย ท่ามกลางความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุมเร้า
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นับตั้งแต่สี จิ้นผิง ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว งบประมาณกลาโหมของจีนก็พุ่งแตะ 1.78 ล้านล้านหยวนในปีนี้ จาก 7.2 แสนล้านหยวนในปี 2556
ทั้งนี้ ปธน.สี จิ้นผิง ตั้งเป้าที่จะปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยอย่างสมบูรณ์ภายในปี 2578 โดยกองทัพจีนกำลังพัฒนาขีปนาวุธ เรือรบ เรือดำน้ำ และเทคโนโลยีการเฝ้าระวังใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่นายเอลบริดจ์ คอลบี ผู้ได้รับการเสนอชื่อจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ฝ่ายนโยบายการป้องกันประเทศ กล่าวว่า ไต้หวัน ซึ่งกำลังเผชิญ “ภัยคุกคามที่ใหญ่ขึ้น” จากจีน ควรพิจารณาเพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศเป็นปีละประมาณ 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) พร้อมทั้งเรียกร้องให้พันธมิตรของสหรัฐฯ เช่น ญี่ปุ่น เพิ่มขีดความสามารถด้านการป้องกันประเทศของตัวเอง และมีความรับผิดชอบมากขึ้นต่อความมั่นคงของตัวเอง
“การล่มสลายของไต้หวันจะเป็นหายนะต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ” คอลบีกล่าว และเสริมว่า เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังจุดยืนของเขาคือ สมดุลทางทหารในการเผชิญหน้ากับจีนนั้นเสื่อมถอยลงอย่างมาก
คอลบีระบุว่า การเสริมแกร่งกองทัพสหรัฐฯ ในภูมิภาคแห่งนี้ “โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” ทั้งใน “ระยะกลางและระยะยาว” จะเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของเขา หากวุฒิสภาพิจารณายืนยันการแต่งตั้งให้คอลบีดำรงตำแหน่ง
ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์