หลังจากที่มีกระแสข่าวว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กำลังพิจารณาที่จะระงับการบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ออกไปอีก 90 วัน ทางทำเนียบขาวได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข่าวดังกล่าว โดยระบุว่าข่าวดังกล่าวเป็นข่าวปลอม
ล่าสุดปธน.ทรัมป์ได้ออกมายืนยันอย่างเป็นทางการว่า เขาไม่ได้มีแผนที่จะพิจารณาระงับการเรียกเก็บภาษีจากหลายสิบประเทศ แม้ว่าประเทศคู่ค้าหลายประเทศพยายามใช้ช่องทางต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีดังกล่าวก็ตาม อย่างไรก็ดี ปธน.ทรัมป์ส่งสัญญาณว่าเขายังคงเปิดช่องทางการเจรจาไว้สำหรับบางประเทศ
ปธน.ทรัมป์กล่าวในระหว่างการพบปะหารือกับเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ที่ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาวในวันจันทร์ (7 เม.ย.) โดยเขายืนยันว่า สหรัฐฯ ไม่มีแผนที่จะระงับการบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ เนื่องจากภาษีศุลกากรมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจะมาตรการจะยังคงมีผลบังคับใช้ตามแผน อย่างไรก็ดี เขากล่าวว่าสหรัฐฯ จะเปิดกว้างให้กับบางประเทศที่เสนอข้อตกลงที่ดีและเป็นธรรม
ถ้อยแถลงดังกล่าวถือเป็นการสร้างความชัดเจน หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีสื่อบางสำนักรายงานโดยอ้างการเปิดเผยของเควิน แฮสเซตต์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจของทำเนียบขาวว่าปธน.ทรัมป์กำลังพิจารณาที่จะระงับการบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ออกไปอีก 90 วัน ข่าวดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นในระหว่างวันของวันจันทร์ (7 เม.ย.) แต่หลังจากทำเนียบขาวได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว ดัชนีตลาดหุ้นนิวยอร์กก็ดิ่งลงสู่แดนลบอีกครั้ง
ปธน.ทรัมป์ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) และภาษีศุลกากรพื้นฐาน (Baseline Tariff) เมื่อวันพุธที่ 2 เม.ย. โดยภาษีศุลกากรตอบโต้จะแตกต่างกันไปเป็นรายประเทศ นับตั้งแต่ 10-49% โดยขึ้นอยู่กับการตั้งกำแพงภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีของประเทศนั้น ๆ ที่มีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐ และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เม.ย. ส่วนภาษีศุลกากรพื้นฐานอยู่ที่ระดับ 10% เท่ากันทุกประเทศ และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เม.ย.
ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์