ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวกับผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันเมื่อวันอาทิตย์ (9 ก.พ.) ว่า เขาจะประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมในอัตรา 25% จากทุกประเทศในวันจันทร์ (10 ก.พ.) แต่ยังไม่ได้ระบุวันที่จะมีผลบังคับใช้
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังกล่าวว่าเขาจะประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ภายในสัปดาห์นี้ โดยจะนำมาใช้กับประเทศที่เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ โดยภาษีศุลกากรตอบโต้นั้น จะยังไม่มีผลบังคับใช้ในวันที่ประกาศซึ่งอาจเป็นวันอังคารหรือวันพุธ แต่จะมีผลบังคับใช้ในเร็ว ๆ นี้
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นมาตรการล่าสุดในการขู่เก็บภาษีนำเข้าจากประเทศต่าง ๆ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ปธน.ทรัมป์ประกาศว่าเขาจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าประเภทอื่น ๆ รวมถึงยา น้ำมัน และเซมิคอนดักเตอร์ และกำลังพิจารณาเก็บภาษีนำเข้าจากสหภาพยุโรปด้วย
ปธน.ทรัมป์ได้เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 10% โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. และในวันเดียวกันนั้น จีนได้ตอบโต้ด้วยการประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ ในอัตรา 15% และเรียกเก็บภาษีนำเข้าน้ำมันดิบ อุปกรณ์ด้านการเกษตร และรถยนต์บางประเภท ในอัตรา 10% โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.นี้
อย่างไรก็ดี ตลาดมองว่ามาตรการภาษีศุลกรกรที่จีนนำมาใช้กับสหรัฐฯ ครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงท่าทีที่ระมัดระวังมากขึ้นของจีนเมื่อเทียบกับเมื่อครั้งที่ปธน.ทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยแรก ขณะเดียวกันตลาดกำลังจับตาดูว่าปธน.ทรัมป์ และปธน.สี จิ้นผิง ผู้นำจีนจะสามารถบรรลุได้ข้อตกลงก่อนที่มาตรการภาษีของจีนจะมีผลในวันที่ 10 ก.พ.หรือไม่
การเจรจาระหว่างปธน.สีและปธน.ทรัมป์ถูกมองว่าจะเป็นกุญแจสำคัญในการผ่อนคลายหรือเลื่อนการเรียกเก็บภาษีออกไป เช่นเดียวกับการที่ปธน.ทรัมป์เจรจากับผู้นำเม็กซิโกและแคนาดาเมื่อวันที่ 3 ก.พ. ซึ่งนำไปสู่การเลื่อนเก็บภาษีจากทั้งสองประเทศเพื่อนบ้านออกไปอีก 1 เดือน
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์
