ดัชนีดาวโจนส์และ S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันศุกร์ (18 ต.ค.) และดัชนี Nasdaq ปิดในแดนบวก เนื่องจากตลาดได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) หลังการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และการปรับตัวขึ้นโดยรวมของหุ้นเทคโนโลยี
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,275.91 จุด เพิ่มขึ้น 36.86 จุด หรือ +0.09%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,864.67 จุด เพิ่มขึ้น 23.20 จุด หรือ +0.40% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,489.55 จุด เพิ่มขึ้น 115.94 จุด หรือ +0.63%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดที่ระดับสูงเป็นประวัติการณ์เป็นวันที่ 5 ในรอบ 6 วันทำการ และในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 1%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 0.9% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 0.8% โดยดัชนีทั้ง 3 ตัวบวกขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกันแล้ว ซึ่งนับเป็นการบวกรายสัปดาห์ต่อเนื่องยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปลายปี 2566
หุ้นเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) พุ่งขึ้น 11.1% ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังเปิดเผยจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นสูงกว่าคาด และคาดว่า การขยายตัวจะดำเนินไปจนถึงสิ้นปี
หุ้นเทคโนโลยีจำนวนมากในกลุ่ม Magnificent Seven ซึ่งหนุนตลาดทะยานขึ้นอย่างมากในปีนี้นั้น ปรับตัวขึ้นตามกัน
หุ้นแอปเปิ้ล (Apple) บวก 1.2% หลังการเปิดเผยข้อมูลบ่งชี้ว่า ยอดขาย iPhone ใหม่ในจีนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะที่หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ปรับตัวขึ้น 0.8% หลัง BofA Global Research ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายหุ้นอินวิเดีย
การปรับตัวขึ้นของหุ้น Netflix ได้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารซึ่งปรับตัวขึ้น 0.9% และเป็นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ปรับตัวขึ้น 0.5%
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลง 0.1% หลังบวกขึ้น 5 วันติดต่อกัน โดยหุ้นบริษัทการเงินเปิดเผยผลประกอบการเชิงบวกส่วนใหญ่จนถึงขณะนี้
หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส (American Express) ร่วงลง 3.1% หลังเปิดเผยรายได้รายไตรมาสต่ำกว่าคาด
หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลง 0.4% เนื่องจากราคาน้ำมันลดลง และหุ้นกลุ่มพลังงานยังเป็นกลุ่มที่ปรับตัวย่ำแย่ที่สุดในสัปดาห์นี้ โดยร่วงลง 2.6% เนื่องจากราคาน้ำมันดิบสหรัฐดิ่งลง 7% จากความวิตกเกี่ยวกับความต้องการใช้น้ำมันในจีนและความขัดแย้งที่ยืดเยื้อในตะวันออกกลาง
ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทการเงินและข้อมูลเศรษฐกิจเชิงบวกได้ช่วยหนุนดัชนีหุ้นหลักทั้ง 3 ตัวในตลาดหุ้นนิวยอร์กขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นที่สูงมากในตอนนี้ ซึ่งดัชนี S&P500 ซื้อขายที่ค่า P/E ล่วงหน้าเกือบ 22 เท่า รวมถึงความคาดหวังสูงจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พ.ย.นั้น อาจทำให้ราคาหุ้นมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลง
แต่เดวิด แวดเดลล์ จาก Waddell & Associates กล่าวว่า ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทต่าง ๆ อาจช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการเมืองหรือมูลค่าหุ้นที่สูงเกินไปได้
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์