ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อยในวันพฤหัสบดี (19 ธ.ค.) โดยดัชนีปรับตัวในกรอบแคบ หลังจากที่ทรุดตัวลงกว่า 1,000 จุดในวันพุธ อันเนื่องมาจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า และยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั้งในปีนี้และปีหน้า
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,342.24 จุด เพิ่มขึ้น 15.37 จุด หรือ +0.04%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,867.08 จุด ลดลง 5.08 จุด หรือ -0.09% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,372.77 จุด ลดลง 19.92 จุด หรือ -0.10%
ในช่วงแรก ดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นกว่า 400 จุด ก่อนที่จะลดช่วงบวกและปิดตลาดขยับขึ้นเล็กน้อย ส่วนดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นกว่า 1% ในช่วงแรก ก่อนที่จะชะลอตัวลงในเวลาต่อมาและปิดตลาดลดลงเล็กน้อย
ทางการสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลที่ออกมาสอดคล้องกับมุมมองของเฟดที่ว่าเศรษฐกิจและตลาดแรงงานยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัว 3.1% ในไตรมาส 3/2567 เพิ่มขึ้นการประมาณการก่อนหน้านี้ที่ระดับ 2.8%
ส่วนตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 22,000 ราย สู่ระดับ 220,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 229,000 ราย
ทั้งนี้ หลังจากสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับ 4.594% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 7 เดือน และส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้น
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 1,000 จุด หลังจากเฟดเปิดเผยรายงานการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ซึ่งระบุว่า เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2568 ลงเพียง 2 ครั้ง จากเดิมที่ส่งสัญญาณว่าจะปรับลด 4 ครั้ง นอกจากนี้ เฟดยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั้งในปี 2567 และ 2568 ขึ้นสู่ระดับ 2.8% และ 2.5% ตามลำดับ จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 2.6% และ 2.2% ตามลำดับ
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 91.4% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 28-29 ม.ค. 2568 หลังจากที่ให้น้ำหนักเพียง 77.2% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มวัสดุร่วงลง 1.69% และ 1.07% ตามลำดับ ส่วนหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้น 0.48% และ 0.40% ตามลำดับ
หุ้นไมครอน เทคโนโลยี (Micron Technology) ร่วงลง 16.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์กำไรและรายได้ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และได้ฉุดดัชนีหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ที่ตลาดหุ้นฟิลาเดลเฟีย (PHLX Semiconductor Index) ดิ่งลง 1.6%
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี PCE จะปรับตัวขึ้น 2.5% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.3% ในเดือนต.ค. และคาดว่าดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะเพิ่มขึ้น 2.9% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.8% ในเดือนต.ค.
ทั้งนี้ ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์