ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (29 ต.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ แต่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก ก่อนที่บริษัทอัลฟาเบท (Alphabet) จะรายงานผลประกอบการ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรและดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เพื่อประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,233.05 จุด ลดลง 154.52 จุด หรือ -0.36%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,832.92 จุด เพิ่มขึ้น 9.40 จุด หรือ +0.16% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,712.75 จุด เพิ่มขึ้น 145.56 จุด หรือ +0.78%
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีพุ่งขึ้นทะลุระดับ 4.3% ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาด เนื่องจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีซึ่งใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาตราสารหนี้ทั่วโลกรวมถึงอัตราดอกเบี้ยจำนองของสหรัฐด้วยนั้น จะทำให้ผู้บริโภคมีค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินกู้จำนองเพิ่มขึ้น และทำให้บริษัทต่าง ๆ มีต้นทุนการชำระหนี้ที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุนและลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
อัลฟาเบท ซึ่งเป็น 1 ใน 7 บริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูง หรือ “Magnificent Seven” มีกำหนดรายงานผลประกอบการหลังจากตลาดปิดทำการ โดยนักลทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินว่าธุรกิจด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของบริษัทเหล่านี้ยังคงแข็งแกร่งหรือไม่ หลังจากกระแสการตอบรับ AI เป็นปัจจัยหนุนหนุนตลาดพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้
นอกเหนือจากอัลฟาเบทแล้ว บริษัทสแนป (Snap) และแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (AMD) จะเปิดเผยผลประกอบการหลังตลาดปิดทำการเช่นกัน ส่วนบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อย่างเมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) และไมโครซอฟท์ (Microsoft) จะรายงานผลประกอบการในวันพุธ (30 ต.ค.) และแอปเปิ้ล (Apple) จะรายงานผลประกอบการในวันพฤหัสบดี (31 ต.ค.)
หุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารและกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 โดยพุ่งขึ้น 1.56% และ 1.12% ตามลำดับ ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง 1.44% หลังจากราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง
หุ้นแมคโดนัลด์ (McDonald’s) ปิดตลาดขยับลง 0.60% โดยแม้ว่าบริษัทเปิดเผยกำไรและรายได้ที่สูงเกินคาดในไตรมาส 3/2567 แต่ราคาหุ้นถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับข่าวการระบาดของเชื้อแบคทีเรียอีโคไล (E. coli) ที่เชื่อมโยงกับเบอร์เกอร์ควอเตอร์ พาวน์เดอร์ Quarter Pounder) ของร้านแมคโดนัลด์
ไฟเซอร์ (Pfizer) ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ของสหรัฐฯ เปิดเผยกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาส 3/2567 โดยได้แรงหนุนจากยอดขายยาแพกซ์โลวิด (Paxlovid) ซึ่งเป็นยารักษาโรคโควิด-19 อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นไฟเซอร์ปิดตลาดร่วงลง 1.4%
หุ้นเพย์พาล (PayPal) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ ร่วงลง 3.9% หลังบริษัทเปิดเผยรายได้ 7.85 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3/2567 ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 7.89 พันล้านดอลลาร์
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ลดลง 418,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 7.443 ล้านตำแหน่งในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2564 จากระดับ 7.861 ล้านตำแหน่งในเดือนส.ค. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 8.0 ล้านตำแหน่ง
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ที่นักลงทุนจับตาในสัปดาห์นี้ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนจาก ADP, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3/67 และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE)
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์