ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (17 พ.ค.) เหนือระดับ 40,000 จุดเป็นครั้งแรก ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปรับตัวขึ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 40,003.59 จุด เพิ่มขึ้น 134.21 จุด หรือ +0.34%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,303.27 จุด เพิ่มขึ้น 6.17 จุด หรือ +0.12% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 16,685.97 จุด ลดลง 12.35 จุด หรือ -0.07%
ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นหลังลดช่วงติดลบลงได้ ขณะที่ดัชนี Nasdaq ลดลง แต่ดัชนีทั้งสองตัวปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 4 ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์บวก 1.24%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 1.54% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 2.11%
หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น โดยกลุ่มพลังงานบวกขึ้นมากที่สุด ขณะที่กลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงมากที่สุด
ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ตลอดจนข้อมูลเงินเฟ้อและข้อมูลเศรษฐกิจอื่น ๆ ได้หนุนความหวังของนักลงทุนที่ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้
เครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า บรรดาเทรดเดอร์คาดว่า มีโอกาส 68% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนก.ย.
หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดีไวซ์ (AMD) ปรับตัวขึ้น 1.1% หลังไมโครซอฟท์เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนที่จะเสนอแพลตฟอร์มที่ใช้ชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของ AMD ให้กับบรรดาลูกค้าระบบคลาวด์คอมพิวติง ซึ่งจะแข่งขันกับชิปที่ผลิตโดยอินวิเดีย
หุ้นเรดดิต พุ่ง 10% หลังเป็นหุ้นส่วนกับโอเพนเอไอเพื่อใช้คอนเทนต์ของเรดดิตในการฝึกฝนแชตจีพีที
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์