จับตาดีเบต Harris Vs Trump สัปดาห์นี้
Gold Bullish
- ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น
- ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง
- Demand ทองคำจากอินเดียและจีนเริ่มกลับมา
- ตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยมากกว่าที่คาด
Gold Bearish
- การหยุดซื้อทองคำของธนาคารกลางจีน
จับตาการดีเบตระหว่าง Kamala Harris และ Donald Trump ในสัปดาห์นี้
สัปดาห์นี้จะมีการดีเบตระหว่างอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน และคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯปีนี้ จะมีขึ้นในวันอังคารที่ 10 ก.ย. ตามเวลาสหรัฐฯ ซึ่งจะเริ่มต้นในเวลา 21:00 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (ET) ซึ่งตรงกับเวลา 08:00 น. ของวันพุธที่ 11 ก.ย. ตามเวลาในประเทศไทย จากที่ก่อนหน้านี้มีการดีเบตรอบแรกระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดนกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งการดีเบตครั้งนี้จะจัดขึ้นในศูนย์รัฐธรรมนูญแห่งชาติ ตั้งอยู่ ณ เมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย หนึ่งในรัฐสมรภูมิที่ผู้สมัครจากทั้งสองพรรคมีคะแนนสูสีกัน โดยการดีเบตในครั้งนี้ อาจครอบคลุม 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ เศรษฐกิจ การย้ายถิ่นฐาน และการทำแท้ง ซึ่งเป็นประเด็นที่ชาวอเมริกันให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยรูปแบบการดีเบตครั้งนี้อาจไม่ต่างกับช่วงดีเบตในเดือนมิ.ย. กล่าวคือ ไม่อนุญาตให้มีผู้ชมในห้องส่ง และไมโครโฟนถูกปิดเสียงหากยังไม่ถึงคิวอภิปราย เนื่องจากก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้มีการขู่ว่าจะขอถอนตัวจากดีเบต หลังทีมหาเสียง “แฮร์ริส” ขอเปิดไมค์ตลอดการดีเบต
การคาดการณ์กลยุทธ์ที่แต่ละฝ่ายจะนำมาใช้ ซึ่งกลยุทธ์หลักของคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ คือการควบคุมอารมณ์ได้มากกว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงการแถลงนโยบายที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐในเชิงบวกอย่างไร ทั้งนี้ในแง่เกี่ยวกับการทำแท้งที่ชาวอเมริกันให้ความสนใจอย่างมาก Kamala Harris อาจสื่อสารถึงการคุ้มครองสิทธิ์ในการทำแท้ง และอาจจะมีการโจมตี Donald Trump ในประเด็นการแต่งตั้งผู้พิพากษา 3 คนที่มีส่วนในการคว่ำคำพิพากษาคดีการทำแท้งประวัติศาสตร์ (Roe v. Wade) ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิทธิในการทำแท้งอย่างถูกกฎหมายของชาวอเมริกันทั่วประเทศ ในขณะที่ Donald Trump อาจจะโจมตีในการวิจารณ์ผลงานของ Kamala Harris ในฐานะรองประธานาธิบดี โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับปัญหาการอพยพเข้าเมืองภายใต้การทำงานของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งเป็นอีกประเด็นหลักที่สำคัญเช่นกันที่ชาวอเมริกันให้ความสนใจ รวมถึงผลงานการบริหารของรัฐบาลไบเดน ไม่ว่าจะเป็นอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี ปัญหาการอพยพเข้าเมืองจำนวนมาก หนี้สาธารณะของสหรัฐพุ่งสูงอย่างมาก
ทั้งนี้ผลสำรวจล่าสุดก่อนการดีเบตจะเกิดขึ้นโดยรอยเตอร์/อิปซอสส์พบว่า Kamala Harris มีคะแนนนำ Donald Trump อยู่ที่ 45% ต่อ 41% ขณะเดียวกันผลสำรวจของยูเอสเอทูเดย์/มหาวิทยาลัยซัฟฟอล์ก Kamala Harris มีคะแนนนิยมนำ Donald Trump ที่ 47.6% ต่อ 43.3% ทั้งนี้ผลสำรวจภายหลังการดีเบตอาจส่งผลกระทบต่อราคาทองคำเชิงบวกได้ หากว่าการดีเบตครั้งนี้ชี้ว่านายโดนัลด์ ทรัมป์กลับมามีคะแนนนำเหนือคามาลา แฮร์ริส ซึ่งตลาดจะกลับมาให้ความสนใจต่อการคาดการณ์ของผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น หากนายโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งสหรัฐในปีนี้ ทั้งนี้เพนน์ วอร์ตัน บัดเจต โมเดล (Penn Wharton Budget Model) ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ได้เปิดเผยผลการศึกษาฉบับล่าสุดว่า นโยบายเศรษฐกิจที่นำเสนอโดยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น 5.8 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งสูงกว่านโยบายที่นำเสนอโดยรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส เกือบ 5 เท่า โดยนโยบายของแฮร์ริสจะทำให้รัฐบาลกลางขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งยังต้องติดตามต่อไป
ราคาทองคำเกิดแรงเทขายแรงจนหลุด 2,500 ดอลลาร์ ทั้งนี้สัญญาณทางเทคนิคจาก MACD เกิด Bearish MACD และ Modified Stochastic ยังบ่งชี้การปรับตัวลงของราคาทองคำ โดยราคาทองคำมีแนวรับ 2,470 ดอลลาร์ และ 2,450 ดอลลาร์ และมีแนวต้าน 2,530 ดอลลาร์ และแนวต้าน 2,540 ดอลลาร์ ส่วนแนวโน้มราคาทองแท่งในประเทศอาจปรับตัวลงในระยะสั้น ทั้งนี้มีโอกาสที่ราคาทองคำแท่งหลุด 40,000 บาท โดยมีแนวรับ 39,600 บาท และ 39,300 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 40,500 บาท และ 40,650 บาท