แรงซื้อทองคำดันทองคำพุ่งทำ All-time high
Gold Bullish
- ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น
- ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง
- Demand ทองคำจากอินเดียและจีนเริ่มกลับมา
- ตลาดเพิ่มน้ำหนักเฟดจะลดดอกเบี้ยมากขึ้น
Gold Bearish
- การหยุดซื้อทองคำของธนาคารกลางจีน
แรงซื้อทองคำแข็งแกร่ง ดันทองคำพุ่งต่อเนื่องทำ All-time high
แม้ว่าจะเกิดแรงเทขายทำกำไรช่วงสั้น ๆ หลังจากที่นักลงทุนทราบผลการประชุมเฟด ซึ่งเฟดได้ปรับลดดอกเบี้ยแรงถึง 0.50% สู่ระดับ 4.75-5.0% แต่ไม่นานก็เริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาอย่างแข็งแกร่ง ดันราคาทองคำพุ่งสูงทำ all-time high ใหม่ต่อเนื่อง ทั้งนี้เริ่มมีคำถามว่า แล้วราคาทองคำจะพุ่งสูงไปถึงระดับเท่าไหร่ และปัจจัยอะไรบ้างที่สามารถดันให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นไปต่อ
คำถามแรก ราคาทองคำจะพุ่งสูงไปถึงระดับเท่าไหร่ ณ ตอนนี้โบรกเกอร์ต่างประเทศหลายสำนักเริ่มปรับมุมมองเป้าหมายของราคาทองคำมากขึ้น โดย UBS คาดการณ์ว่าราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอีก โดยคาดว่าราคาจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 2,700 ดอลลาร์/ออนซ์ภายในช่วงกลางปี 2568 ขณะที่ Goldman Sachs คาดปีหน้าทะลุ 2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนนักวิเคราะห์ตลาดการเงินจาก Capital.com ชี้ว่าแนวโน้มทองคำยังเป็นไปในเชิงบวกมาก และหากสภาวะตลาดเอื้ออำนวนเช่นนี้ต่อไปราคาทองคำมีโอกาสไปถึง 2,600-2,800 ดอลลาร์ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ด้าน Citi Group ประเมินว่าราคาทองคำอาจจะสูงถึง 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในปี 2568 ทั้งนี้มุมมองของโบรกเกอร์ต่างประเทศยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อราคาทองคำอย่างมาก หากพิจารณาถึงการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ จากรูปแบบ Cup and Handle (ถ้วยและหูจับ) หากให้จุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,050 ดอลลาร์ และจุดสูงสุดที่ 2,075 ดอลลาร์ จะเห็นว่ามีระยะห่างประมาณ 1,000 ดอลลาร์ หากนำมาพล็อตลงกราฟ ก็เห็นว่าราคาทองคำมีโอกาสไปได้ต่อถึงเป้าหมายที่ 3,000 ดอลลาร์เลยทีเดียว
ปัจจัยที่อาจเป็นแรงผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อไปได้ นั่นคือ
ทิศทางดอกเบี้ยขาลง หลังจากที่เฟดได้ประกาศลดดอกเบี้ยถึง 0.50% Dot Plot หรือการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดเปลี่ยนแปลง สะท้อนให้เห็นว่าปีนี้เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยรวม 1% ซึ่งช่วงที่เหลือของปีนี้จะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% และส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวม 1.00% ในปี 2568 และลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในปี 2569 ซึ่งทิศทางดอกเบี้ยขาลงนั้นยังคงหนุนราคาทองคำให้เป็นขาขึ้นได้ในระยะยาว
ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเดินหน้าเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง ณ ข้อมูลล่าสุด ที่มีการเปิดเผยใน World Gold Council จากรายงาน Central Bank Gold Statistics : July 2024 ที่มีการเปิดเผยในวันที่ 3 ก.ย. ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความต้องการทองคำของธนาคารกลางยังคงเพิ่มขึ้นในเดือนก.ค. แม้ว่าราคาทองคำจะอยู่ในระดับสูง โดยล่าสุดรายงานการซื้อสุทธิของธนาคารกลางเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าในเดือนก.ค. โดยในเดือนก.ค.นี้ ธนาคารกลางโปรแลนด์ได้เป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดในเดือนนี้ รองลงมาก็คือธนาคารกลางอุซเบกิสถาน และธนาคารกลางอินเดีย ทั้งนี้ในปีนี้ธนาคารกลางตุรกีได้มีการเข้าซื้อทองคำเป็นรายใหญ่ที่สุดในโลก รองลงมาเป็นธนาคารกลางอินเดีย และธนาคารกลางโปแลนด์ตามมาเป็นอันดับที่ 3 ส่วนธนาคารกลางจีนที่เคยเข้าซื้อมาเป็นอันดับที่ 1 ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ แต่หลังจากที่มีการหยุดซื้อทองคำติดต่อกันหลายเดือน ทำให้ ณ ปัจจุบันนี้ตามหลังมาเป็นอันดับที่ 4 ของการเข้าซื้อทองคำจากธนาคารกลางจีนในปีนี้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าธนาคารกลางจีนจะมีการชะลอการเข้าซื้อทองคำ แต่ธนาคารกลางอื่นๆ ก็ยังเดินหน้าเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราจะเห็นว่าธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเดินหน้าเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง และมียอดเข้าซื้อสุทธิติดต่อกันกว่า 14 เดือน และยังคงคาดว่าความต้องการทองคำของธนาคารกลางยังคงดำเนินต่อไปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
สงครามที่ยังร้อนระอุ ความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามยังคงเป็นแรงหนุนต่อราคาทองคำเป็นระยะ ไม่ว่าจะเป็นสงครามรัสเซีย-ยูเครน และสถานการณ์ในตะวันออกกลาง โดยล่าสุดความตึงเครียดในตะวันออกกลางเริ่มกลับมาร้อนระอุอีกครั้ง หลังกลุ่มอิซบอลเลาะห์ได้ตอบโต้โจมตีอิสราเอลอย่างหนัก หลังจากที่อิสราเอลได้โจมตีทางอากาศด้วยการระเบิดในพื้นที่ทางใต้ของเลบานอน ซึ่งอาจส่งผลต่อแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และคาดการณ์ว่าสถานการณ์ในตะวันออกกลางอาจคงยังไม่จบในระยะอันใกล้นี้
สัญญาณทางเทคนิคของราคาทองคำยังคงมีทิศทางขาขึ้นในระยะยาว ขณะที่ในสัปดาห์นี้คาดการณ์ว่าราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ต่อ โดยราคาทองคำมีแนวรับ 2,600 ดอลลาร์ และ 2,580 ดอลลาร์ และราคาทองคำมีแนวต้าน 2,650 ดอลลาร์ และแนวต้าน 2,670 ดอลลาร์ ส่วนแนวโน้มราคาทองแท่งในประเทศกลับมามีแนวโน้มปรับตัวขึ้นตามราคาทองคำโลก แต่การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำแท่งจะไม่มากนัก เนื่องจากยังถูกกดดันจากค่าเงินบาทแข็งค่าหลุด 33 บาท โดยมีแนวรับ 40,600 บาท และ 40,500 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 41,000 บาท และ 41,200 บาท