แนวโน้มราคาทอง
ขาขึ้น
- ทองคำเคลื่อนไหวทรงตัว
- จับตาความตึงเครียดจากสงคราม
Gold spot
สูงสุด – 2,664 ดอลลาร์
ต่ำสุด – 2,655 ดอลลาร์
ราคาทองคำแท่ง
สูงสุด – 41,150 บาท
ต่ำสุด – 41,100 บาท
ภาพรวมความเคลื่อนไหวที่ผ่านมา
ช่วงกลางวันราคาทองคำเคลื่อนไหวทรงตัวใกล้ระดับ All-time high ซึ่งราคาทองคำได้รับปัจจัยหนุนจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง ทั้งนี้ตลาดคาดว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในเชิงรุกมากขึ้น โดยนักลงทุนคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนพ.ย. รวมถึงแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย จากความตีงเครียดในตะวันออกกลาง ท่ามกลางกระแสข่าวว่าอิสราเอลเตรียมส่งกำลังทหารเข้าปฎิบัติการภาคพื้นดินในเลบานอนเพื่อกวาดล้างกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ รวมถึงสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยปูตินขู่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์หากถูกโจมตีจากยูเครน หลังสหรัฐและอังกฤษหารือว่าจะอนุญาตให้ยูเครนยิงขีปนาวุธจากชาติตะวันตกเข้ามาในรัสเซียหรือไม่
ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตาม
คืนนี้สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐหลายตัว ได้แก่ จีดีพีไตรมาส 2 (ประมาณการครั้งสุดท้าย) จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนส.ค. และยอดทำสัญญาขายบ้านรอปิดการขายเดือนส.ค. นอกจากนี้ติดตามการแถลงของประธานเฟด และการแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด
วิเคราะห์ราคาทอง
แม้ว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวทรงตัว แต่ก็ยังเคลื่อนไหวในแดนบวกและใกล้ All-time high ทั้งนี้คาดว่าราคาทองคำจึงยังคงมีทิศทางขาขึ้นในระยะยาว จับตาบริเวณ 2,640 ดอลลาร์ หากราคาทองคำยังยืนเหนือบริเวณดังกล่าว มีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นได้ต่อ
ราคาทองตลาดโลก
แนวรับ 2,640 และ 2,630 ดอลลาร์
แนวต้าน 2,670 และ 2,685 ดอลลาร์
หากมีการเข้าซื้อไว้สามารถขายทำกำไรบริเวณ 2,690-2,700 ดอลลาร์ การเข้าซื้อรอบใหม่ แนะนำเข้าซื้อบริเวณ 2,640 ดอลลาร์ โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 2,630 ดอลลาร์
ราคาทองคำแท่ง 96.5%
แนวรับ : 41,000 และ 40,850 บาท
แนวต้าน : 41,300 และ 41,400 บาท
ทิศทางราคาทองคำแท่งยังคงสดใส แม้เผชิญแรงกดดันจากค่าเงินบาทแข็งค่า แต่สัญญาณทางเทคนิค ราคาทองคำแท่งสามารถทะลุผ่านเส้น SMA100 ขึ้นมาได้ ทำให้มีแนวรับที่แข็งแกร่งบริเวณ 40,500-40,600 บาทในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราคาทองคำแท่งจะมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น แต่อาจปรับตัวขึ้นไม่มากนัก หากถือทองคำไว้แนะนำ Let Profit Run