ตลาดมีมุมมองการลดดอกเบี้ยเฟดปีนี้น้อยลง
Gold Bullish
- ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น
- ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง
Gold Bearish
- การหยุดซื้อทองคำของธนาคารกลางจีน
- ตลาดให้น้ำหนักการลดดอกเบี้ยของเฟดน้อยลง
ตลาดมีมุมมองการลดดอกเบี้ยของเฟดปีนี้น้อยลง
ตลาดเริ่มปรับเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดที่น้อยลงกว่าเดิม จากก่อนหน้านี้ตลาดมีการคาดการณ์ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนพ.ย.อีก 0.50% และอาจลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. 0.25% ทำให้ตลาดประเมินได้ว่ามีความเป็นไปได้ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยมากกว่า 1% ในปีนี้ แต่หลังจากที่พาวเวลยังคงส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ย 0.50% เท่านั้น คือลดดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 2 ครั้งในพ.ย. และธ.ค. รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานสหรัฐออกมาอย่างแข็งแกร่งได้ลดแรงกดดันที่เฟดจะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ในการประชุมวันที่ 6-7 พ.ย. ทั้งนี้มุมมองของตลาดเริ่มมีความสอดคล้องกับการส่งสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด ล่าสุดตลาดคาดว่าไม่มีโอกาสที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยครั้งละ 0.50% อีกในปีนี้ โดยคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% อีก 2 ครั้งในการประชุมเดือนพ.ย. และธ.ค. รวมเฟดจะลดดอกเบี้ยอีก 0.50% ในปีนี้
ซึ่งมุมมองของตลาดที่คาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยน้อยลง สร้างแรงกดดันราคาทองคำในระยะสั้น แต่อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้นในตะวันออกกลางทำให้นักลงทุนลังเลที่จะขายทองคำออกมา ราคาทองคำในช่วงนี้จึงอาจปรับตัวลงไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงมุมมองการคาดการณ์ของตลาดที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ที่อาจส่งผลความผันผวนต่อราคาทองคำเป็นอย่างมาก ซึ่งอันที่จริงแล้ว ถ้าพิจารณาถึงอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ ณ ปัจจุบันควรอยู่ที่ระดับเท่าใดถึงจะเหมาะสม ซึ่งเราจะขอหยิบยกกฎของ Taylor ซึ่งกฎของเทย์เลอร์ ได้มีการนำใช้ตั้งแต่ปี 1993 ในการคาดการณ์หาอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งหากพิจารณาจากกราฟของกฎ Taylor จะเห็นว่า ในช่วงหลังปี 2001 การคำนวณจากทฤษฎีกฎเทย์เลอร์ (Taylors Rule) เราจะเห็นเส้น Taylors ที่ได้จากการคำนวณตามสูตร หากเส้น Actual fed funds Rate ปรับตัวลง ราคาทองคำจะมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในภายหลัง ซึ่งเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงปี 2008-2009 ที่ทั้งเส้น Taylors และเส้น Actual fed funds Rate กลับหัวลงอย่างชัดเจน และราคาทองคำก็ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องภายหลัง และขึ้นไประดับสูงสุดหลังจากที่เส้นเทย์เลอร์กลับหัวลงประมาณ 3 ปี ก่อนที่จะเริ่มปรับตัวลงมา และในช่วงปี 2020 เส้น Taylors ดีดลงแรง และแนวโน้มทองดีดตัวขึ้นหลังเส้นกลับหัวลงประมาณครึ่งปี พิจารณาข้อมูลเดิมจะเห็นว่าสัญญาณจากเส้นกฎเทรเลอร์จะเกิดก่อนเสมอประมาณครึ่งปีและอาจยาวถึง 3 ปี ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงราคาทองคำไปในทิศตรงข้าม ดังนั้นเส้น Taylors เหมือนจะเริ่มกลับหัวมาตั้งแต่ปี 2022 อีกครั้ง คาดว่าราคาทองคำจะขึ้นไปถึงระดับสูงสุดหลังจากเส้นเทย์เลอร์ปรับตัวลงซึ่งอาจใช้เวลานานถึง 3 ปี ถ้าพิจารณาจากช่วงเวลา นั่นคือช่วงปีนี้จนถึงปีหน้าที่ทองคำมีโอกาสเกิด all-time high ได้อีก
กฎของ Taylor ยังสามารถคำนวณอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม ว่า ณ ตอนนี้ควรอยู่ที่ระดับเท่าใด โดยการคำนวณดังกล่าวจะใช้ Core PCE และอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายมาคำนวณจากข้อมูลเดือนส.ค. ค่าจากกฎของ Taylor อยู่ที่ 4.83% ซึ่ง ณ ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 4.75%-5% ซึ่งอัตราดอกเบี้ยตอนนี้ถือว่าเหมาะสมดีแล้ว อย่างมากก็น่าจะลดดอกเบี้ยได้อีก 0.25% จะเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม แม้ดอกเบี้ยตอนนี้ถือว่าเป็นดอกเบี้ยที่เหมาะสม เพราะเป็นการคำนวนค่าที่ควรเป็นตอนนี้ แต่การลดดอกเบี้ยทั้งหมดจะคำนวนจากดอกเบี้ยจริง ดังนั้น Taylors บอกดอกเบี้ยตอนนี้ควรเป็นเท่าไหร่แต่ไม่ได้บอกว่าลดดอกเบี้ยทั้งหมดเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม กฎของ Taylor ได้สะท้อนถึงมุมมองของตลาดเกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยก่อนหน้านี้มากเกินไปหรือไม่? ซึ่งหากตลาดมีมุมมองการคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยที่น้อยลง อาจทำให้เป็นแรงกดดันราคาทองคำระยะสั้น แต่อย่างไรก็ตาม ก็เป็นเพียงระยะสั้น ซึ่งทิศทางดอกเบี้ยขาลงก็ยังหนุนตลาดทองคำในระยะยาว
ยังคงมีสัญญาณการปรับตัวลงของราคาทองคำ จากสัญญาณทางเทคนิคทั้ง MACD และ Modified Stochastic ของราคาทองคำใน Timeframe Day เกิดสัญญาณขาย (Sell Signal) โดยราคาทองคำมีแนวรับ 2,630 ดอลลาร์ และ 2,610 ดอลลาร์ และราคาทองคำมีแนวต้าน 2,670 ดอลลาร์ และแนวต้าน 2,685 ดอลลาร์ ส่วนแนวโน้มราคาทองแท่งในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น จากทิศทางค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง โดยมีแนวรับ 41,500 บาท และ 41,200 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 41,850 บาท และ 42,000