ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันพุธ (6 พ.ย.) โดยดัชนีดาวโจนส์, S&P500 และ Nasdaq ต่างก็ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,729.93 จุด เพิ่มขึ้น 1,508.05 จุด หรือ +3.57%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,929.04 จุด เพิ่มขึ้น 146.28 จุด หรือ +2.53% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,983.47 จุด เพิ่มขึ้น 544.29 จุด หรือ +2.95%
ดัชนีดาวโจนส์ และ S&P500 ทำสถิติพุ่งขึ้นในวันเดียวที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2565 ส่วนดัชนี Nasdaq ทำสถิติทะยานขึ้นในวันเดียวที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.ปีนี้
มาร์ค พินโท นักวิเคราะห์จากบริษัท Janus Henderson Investors กล่าวว่า นักลงทุนขานรับชัยชนะของทรัมป์ เนื่องจากมองว่ารัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของทรัมป์จะเร่งดำเนินนโยบายต่าง ๆ ตามที่ได้หาเสียงไว้ ซึ่งรวมถึงการปรับลดอัตราภาษี การผ่อนคลายกฎระเบียบในภาคการเงิน และการใช้จ่ายทางการคลัง ซึ่งนโยบายเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งขึ้น
ขณะนี้นักลงทุนกำลังรอดูว่าพรรครีพับลิกันจะยังคงครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้หรือไม่ หลังจากสามารถครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาได้แล้ว โดยหากพรรครีพับลิกันครองอำนาจเบ็ดเสร็จในสภาคองเกรสก็จะทำให้รัฐบาลของทรัมป์สามารถบังคับใช้กฎหมายที่สำคัญได้อย่างราบรื่น
ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 นั้น หุ้นกลุ่มการเงินทะยานขึ้นแข็งแกร่งที่สุดถึง 6.16% เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่าภาคการเงินจะได้ประโยชน์จากนโยบายการผ่อนคลายกฎระเบียบในภาคการเงินของทรัมป์ แต่หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย ร่วงลงมากที่สุดถึง 2.64% เนื่องจากนักลงทุนประเมินว่านโยบายต่าง ๆ ของทรัมป์อาจจะส่งผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้นและอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
การที่ผลเลือกตั้งออกมาชัดเจนและไม่ยืดเยื้อได้ช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวล โดยดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลง 4.22 จุด หรือ 20.60% ปิดที่ระดับ 16.27 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์
ดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปต่ำ พุ่งขึ้น 5.84% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2565 โดยได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่าธุรกิจในกลุ่มนี้จะได้แรงหนุนจากการผ่อนคลายกฎระเบียบ การปรับลดภาษี และการใช้นโยบายต่อต้านการกีดกันทางการค้า (Protectionist)
หุ้นที่ได้ประโยชน์จากชัยชนะของทรัมป์พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นทรัมป์ มีเดีย แอนด์ เทคโนโลยี กรุ๊ป (Trump Media & Technology Group) ซึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม ทรูธ โซเชียล (Truth Social) พุ่งขึ้น 5.94% ขณะที่หุ้นเทสลา (Tesla) ทะยานขึ้น 14.75% เนื่องจากอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา ถือเป็นกำลังสำคัญในการรณรงค์หาเสียงให้กับทีมงานของทรัมป์
ตลาดจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันนี้ (7 พ.ย.) ตามเวลาสหรัฐฯ โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 97.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมครั้งนี้
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์