ทองคำพุ่งใกล้จุดสูงสุดประวัติการณ์:
จับตานโยบายทรัมป์ 2.0 และปัจจัยสำคัญที่พลิกตลาด
Gold Bullish
- ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น
- ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง
- ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจากนโยบายทรัมป์ 2.0
Gold Bearish
- เฟดชะลอการปรับลดดอกเบี้ย
- แรงขายทองคำหลังเทศกาลตรุษจีน
ทองคำพุ่งใกล้จุดสูงสุดประวัติการณ์: จับตานโยบายทรัมป์ 2.0 และปัจจัยสำคัญที่อาจพลิกตลาด
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวผันผวนอย่างมาก โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากนโยบาย “ทรัมป์ 2.0” ที่ยังคงสร้างความไม่แน่นอนให้แก่นักลงทุนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเข้าใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All-time high) ด้วยแรงซื้อทองคำในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนต่อความไม่ชัดเจนของแผนนโยบายจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
นโยบายทรัมป์ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดทองคำ รวมถึงการเรียกร้องให้ธนาคารกลางทั่วโลกปรับลดอัตราดอกเบี้ยทันที การกดดันซาอุดีอาระเบียและกลุ่ม OPEC ให้ลดราคาน้ำมัน ซึ่งแม้ว่าจะช่วยลดต้นทุนพลังงานในสหรัฐ แต่กลับสร้างแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมน้ำมันในประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่ม Shale Oil ที่มีต้นทุนการผลิตสูง หากราคาน้ำมันลดต่ำกว่าจุดคุ้มทุน อาจทำให้เกิดการลดการลงทุน การเลิกจ้างงาน และการปิดตัวของผู้ผลิตรายเล็ก นอกจากนี้ ความผันผวนของตลาดการเงินยังได้รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนที่อาจเกิดสงครามการค้า เช่น การเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน แคนาดา และเม็กซิโก ซึ่งทำให้นักลงทุนเร่งซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง
ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตาในสัปดาห์นี้
นโยบายทรัมป์ 2.0 ที่สร้างความผันผวนต่อราคาทองคำ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงสร้างแรงสั่นสะเทือนในตลาดการเงินด้วยแถลงการณ์และคำสั่งฝ่ายบริหาร เช่น การขู่เรียกเก็บภาษีการค้าเพิ่มเติม ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงรุกต่อสงครามการค้า อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเขาได้เปลี่ยนท่าทีในการให้สัมภาษณ์ว่า “ไม่อยากเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน” ซึ่งสะท้อนถึงความไม่แน่นอนที่อาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำได้ตลอดเวลา ดังนั้นทรัมป์จึงเป็นสัญลักษณ์ของความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน นโยบายของทรัมป์ถูกมองว่าเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดความผันผวนในตลาด
การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC)
การประชุม FOMC ครั้งแรกของปีนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 28-29 มกราคมนี้ แม้ทรัมป์จะกดดันให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยทันที แต่คาดว่าที่ประชุมจะยังคงดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิม เพื่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างรอบคอบ การคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับปัจจุบันอาจทำให้เงินดอลลาร์มีเสถียรภาพ และอาจกดดันราคาทองคำในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจะจับตาสัญญาณจาก Fed เกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินในปีนี้ หาก Fed มีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ยในอนาคต อาจส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าและหนุนราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้น
แรงเทขายทองคำหลังเทศกาลตรุษจีน
เทศกาลตรุษจีนเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญต่อตลาดทองคำ เนื่องจากเป็นช่วงที่ความต้องการทองคำในจีนและเอเชียเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม หลังจากเทศกาลตรุษจีนผ่านไป มักมีแรงเทขายทองคำออกมา จากข้อมูลสถิติย้อนหลัง 10 ปี พบว่า ราคาทองคำมักปรับตัวลงในช่วง 1 สัปดาห์หลังเทศกาลตรุษจีน โดยมีโอกาสปรับตัวลงถึง 6 ครั้งจาก 10 ครั้ง สาเหตุหลักมาจากการเทขายทองคำหลังจากที่ความต้องการในช่วงเทศกาลลดลง อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไป 1 เดือน ราคาทองคำมักมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น โดยข้อมูลสถิติย้อนหลัง 10 ปี พบว่า ราคาทองคำให้ผลตอบแทนมากถึง 8% เป็นจำนวน 2 ครั้ง และให้ผลตอบแทนมากถึง 6% เป็นจำนวน 1 ครั้ง ขณะที่อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของราคาทองคำโลกภายหลัง 1 เดือนจากช่วงเทศกาลตรุษจีนอยู่ที่ 1.25% ซึ่งชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการลงทุนระยะสั้นหลังช่วงเทศกาล
สรุปสถานการณ์ทองคำ
ตั้งแต่ต้นปี ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 5.57% ขณะที่ราคาทองคำแท่งในประเทศเพิ่มขึ้น 3.51% แม้ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 2.21% จะกดดันราคาทองคำในประเทศ ซึ่งในสัปดาห์นี้คาดว่าราคาทองคำอาจผันผวน และให้ระวังแรงเทขายทำกำไรออกมา โดยมีแนวรับและแนวต้านอยู่ระหว่าง 2,730-2,800 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองคำแท่งในประเทศเคลื่อนไหวระหว่าง 43,400-44,500 บาท โดยตลาดทองคำกำลังจับตา 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ นโยบายของทรัมป์ 2.0 ที่สร้างความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน, การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่อาจส่งสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินในปีนี้, และพฤติกรรมของนักลงทุนหลังเทศกาลตรุษจีนที่อาจนำไปสู่แรงเทขายทองคำในระยะสั้น นักลงทุนควรเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนของราคาทองคำ และติดตามปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพื่อตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว