ตลอดระยะเวลากว่า 6 สัปดาห์ ที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่ง ได้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน จากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายภาษีนำเข้าสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยพุ่งเป้าไปที่ประเทศจีน เป็นหลัก โดยเป็นเพียงประเทศเดียว ณ ปัจจุบัน ที่มีการเริ่มสงครามการค้าในครั้งนี้แล้วอย่างจริงจัง
ขณะที่การขึ้นภาษีนำเข้าของแคนาดา และเม็กซิโก มีการเลื่อนออกไปเป็นในช่วงวันที่ 2 เมษายน 2568 พร้อมๆกันกับมาตรการตอบโต้ประเทศคู่ค้าซึ่งได้ดุลการค้าจากสหรัฐฯ นอกจากนั้นยังมีแผนในการเรียกเก็บภาษีในอัตรา 25% จากการนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศผู้นำการผลิตในอุตสาหกรรมเหล็กขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น บราซิล แคนาดา จีน เยอรมนี เม็กซิโก เนเธอร์แลนด์ เกาหลีใต้ และเวียดนาม รวมถึงประเทศผู้ผลิตอลูมิเนียมรายใหญ่ เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และบาห์เรน
ยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับคู่ค้าหลัก (15 ประเทศ) ในปี 2024
จีนเดินหมากตอบโต้สงครามการค้ากับสหรัฐฯ
สหรัฐฯ ได้กำหนดอัตราภาษี 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มเติม นอกเหนือจากอัตราภาษี 10% ที่ประกาศใช้ไปในช่วงก่อนหน้าในช่วงต้นเดือน ก.พ. จะส่งผลให้จีนถูกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 20% ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน ขณะที่จีนเริ่มใช้มาตรการโต้ตอบกลับ โดยประกาศตั้งอัตราภาษี 10-15% กับการนำเข้าสินค้าอาหารจากสหรัฐฯ อาทิ ข้าวสาลี ข้าวโพด เนื้อวัว และถั่วเหลือง โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค. ซึ่งก่อนหน้านี้จีนยังได้เรียกเก็บภาษีการนำเข้าถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ เครื่องจักรกลการเกษตร และรถยนต์เครื่องยนต์ขนาดใหญ่จากสหรัฐฯ และยังสั่งห้ามการส่งออกธาตุหายากหลายชนิดที่จำเป็นต่อการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ทางการทหารไปยังสหรัฐฯ
โดยในการประชุมประจำปีของสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) นายกรัฐมนตรี หลี่ เฉียง ได้แถลงการณ์ถึงเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปีนี้ โดยตั้งเป้าหมาย GDP อยู่ที่ประมาณ 5% การประกาศดังกล่าวอาจเป็นการเผยว่าในปีนี้ จีนอาจทุ่มงบประมาณทางการคลังมากกว่าปีก่อนหน้า เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาษีการค้าของสหรัฐฯ ที่เข้ามาซ้ำเติมสถานการณ์ของเศรษฐกิจจีน ซึ่งพยายามฟื้นตัวจากปัญหาฟองสบู่ในประเทศ
ด้านนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ออกมาเตือนว่า ภาษีของทรัมป์คือสงครามการค้าที่อาจเป็นชนวนให้เกิดเงินเฟ้อและส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในวงกว้าง ความกังวลดังกล่าวกำลังเป็นเหตุผลที่บัฟเฟตต์อยู่ในโหมดตั้งรับ โดยทยอยขายหุ้นและสะสมเงินสดในระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์
ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าว มีแนวโน้มว่าจะส่งผลบวกต่อราคาทองโลก ซึ่งมีผลมาจากอัตราเงินเฟ้อที่อาจสูงขึ้นจากระดับภาษีที่มีการปรับขึ้น และจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจ รวมถึงประเด็นTrade war ซึ่งได้มีการปรับขึ้นภาษีจากจีนไปแล้ว ขณะที่ล่าสุดทรัมป์ประกาศเลื่อนเก็บภาษีสินค้านำเข้าภายใต้ข้อตกลง USMCA จากแคนาดา และเม็กซิโกออกไปจนถึงวันที่ 2 เม.ย ซึ่งอาจประเมินผลกระทบตามสถานการณ์ ออกเป็น 2 สถานการณ์ คือ
- หากทรัมป์ยังมีแนวโน้มปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ จากทุกประเทศ ราคาทองอาจมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น เนื่องจากธนาคารกลางแต่ละประเทศรวมถึงนักลงทุน อาจต้องวางแผนรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งส่งผลให้ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย และรักษามูลค่าได้ดี กลับมาได้รับความสนใจในการถือครองมากขึ้น
- โดยหากทรัมป์เริ่มมีท่าทีผ่อนคลายลง โดยอาจยืดระยะเวลาที่เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าออกไป หรือสามารถหาข้อตกลงเพื่อลดการขาดดุลการค้าสหรัฐฯ ก็อาจส่งผลให้นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลลง และเริ่มกลับเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ราคาทองก็อาจมีแนวโน้มชะลอตัวลง
สำหรับในประเด็น Trade war นี้ นอกจากมุมของสหรัฐฯ ที่กำลังดำเนินมาตรการทางภาษีกับประเทศคู่ค้าแล้ว ยังมีความไม่แน่นอนที่สถานการณ์อาจขยายวงกว้างและบานปลายออกไปอีก หากประเทศซึ่งได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า เริ่มหันมาดำเนินนโยบายกำแพงภาษีตอบโต้อย่างเต็มรูปแบบ
อย่างไรก็ตามคงต้องรอติดตามว่าท้ายที่สุดแล้ว ในวันที่ 2 เม.ย. นี้ สหรัฐฯ จะมีการใช้มาตรการทางภาษีกับแคนาดาและเม็กซิโกจริงหรือไม่ และจะมีการตอบโต้กลับในลักษณะใดจากการขึ้นภาษีดังกล่าวนี้