สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (15 พ.ย.) และปรับตัวลงมากที่สุดในสัปดาห์นี้ในรอบกว่า 3 ปี โดยถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐหลังจากคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง โดยดอลลาร์ที่แข็งค่าจะทำให้ราคาทองแพงขึ้นสำหรับผู้ถือเงินสกุลอื่น และจะลดความน่าดึงดูดใจในการลงทุนในทองคำ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 2.80 ดอลลาร์ หรือ 0.11% ปิดที่ 2,570.10 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 13.7 เซนต์ หรือ 0.45% ปิดที่ 30.432 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 1.10 ดอลลาร์ หรือ 0.12% ปิดที่ 945.10 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 17.60 ดอลลาร์ หรือ 1.90% ปิดที่ 943.30 ดอลลาร์/ออนซ์
ราคาทองคำร่วงลงมากกว่า 4% แล้วในสัปดาห์นี้ โดยลดลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 12 ก.ย.เมื่อวันพฤหัสบดี (14 พ.ย.) ขณะที่ดอลลาร์ปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดในรอบกว่า 1 เดือน ซึ่งทำให้ทองคำมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือสกุลเงินอื่น ๆ
ในขณะเดียวกัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เพิ่มขึ้นหลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลแสดงให้เห็นว่ายอดค้าปลีกในสหรัฐที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกนั้น เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดไว้เมื่อเดือนที่แล้ว
นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าแผนการเก็บภาษีนำเข้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่จะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้การถือทองคำไม่น่าสนใจ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
เมื่อวันพฤหัสบดี (14 พ.ย.) เจอโรม พาวเวล ประธานเฟดกล่าวว่า เฟดไม่จำเป็นต้องรีบลดอัตราดอกเบี้ย
เครื่องมือ CME Fedwatch บ่งชี้ว่า ตลาดคาดการณ์ในขณะนี้ว่า มีโอกาส 62% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในเดือนธ.ค. ลดลงจาก 83% เมื่อวันพฤหัสบดี
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์