ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (22 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างแข็งแกร่งในสหรัฐฯ ซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก โดยทั้งดัชนีดาวโจนส์, S&P500 และ Nasdaq ต่างก็ปรับตัวขึ้นในรอบสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,296.51 จุด เพิ่มขึ้น 426.16 จุด หรือ +0.97%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,969.34 จุด เพิ่มขึ้น 20.63 จุด หรือ +0.35% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,003.65 จุด เพิ่มขึ้น 31.23 จุด หรือ +0.16%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 1.96%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 1.68% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 1.73%
ดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจของสหรัฐฯ แตะระดับสูงสุดในรอบ 31 เดือนในเดือนพ.ย. โดยได้แรงหนุนจากความหวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และการออกนโยบายที่เป็นมิตรกับภาคธุรกิจมากขึ้นจากรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในปีหน้า
เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 55.3 ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 31 เดือน จากระดับ 54.1 ในเดือนต.ค.
ดัชนี PMI ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคธุรกิจสหรัฐฯ
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้น 1.36% โดยเป็นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในดัชนี S&P500 ขณะที่กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยปรับตัวลงมากที่สุด โดยลดลง 0.69%
หุ้นแก๊ป อิงค์ (Gap Inc) พุ่งขึ้น 12.8% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ยอดขายประจำปี และระบุว่า ช่วงเทศกาลวันหยุดได้เริ่มต้นขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม หุ้นอัลฟาเบท (Alphabet) ร่วงลง 1.7% เนื่องจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐได้แจ้งกับผู้พิพากษาว่า อัลฟาเบทกำลังทำการผูกขาดตลาดการค้นหาออนไลน์
หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ร่วงลง 3.2% ในการซื้อขายที่ผันผวน หลังเปิดเผยคาดการณ์ผลประกอบการรายไตรมาสเมื่อวันพุธ
ดัชนีหุ้นคุณค่า (value stocks) ใน S&P500 ปรับตัวขึ้น 0.78% ขณะที่นักลงทุนย้ายการลงทุนออกจากหุ้นเติบโต (growth stocks)
สำหรับการคาดการณ์เกี่ยวกับการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในเดือนธ.ค.นั้นเปลี่ยนไปมาระหว่างการคงอัตราดอกเบี้ย หรือการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เนื่องจากนักลงทุนกำลังพิจารณาถึงผลกระทบที่เป็นไปได้จากแผนการของทรัมป์ที่อาจส่งผลต่อแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ
เครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME บ่งชี้ว่า มีโอกาส 59.6% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในเดือนธ.ค.
ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังเป็นประเด็นสำคัญในสัปดาห์นี้ เนื่องจากนักลงทุนติดตามสถานการณ์การยิงขีปนาวุธระหว่างยูเครนและรัสเซีย หลังจากรัสเซียปรับลดเงื่อนไขสำหรับการตอบโต้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาดูการเลือกบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังในรัฐบาลทรัมป์ด้วย
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์