3 ปัจจัยที่ต้องติดตามในเดือนธ.ค.
Gold Bullish
- ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น
- ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง
- ทิศทางดอกเบี้ยขาลง
Gold Bearish
- การหยุดซื้อทองคำของธนาคารกลางจีน
- แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า
- เฟดชะลอการปรับลดดอกเบี้ย
3 ปัจจัยที่ต้องติดตามในเดือนธ.ค.
แม้ในช่วงต้นสัปดาห์ก่อนราคาทองคำจะปรับตัวลง แต่ก็ยังมีแรงซื้อทองคำกลับมาเล็กน้อย ทั้งนี้ปัจจัยที่ยังต้องติดตามต่อเนื่องในเดือนธ.ค. ได้แก่ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์และการนำเสนอชื่อบุคคลใดบ้างในกระทรวงสำคัญต่างๆ
คาดเฟดยังคงลดดอกเบี้ยในการประชุมเฟดในเดือนธ.ค. แต่อาจชะลอการปรับลดดอกเบี้ยปีหน้า
สัปดาห์นี้ยังคงต้องติดตามการแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด มีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในงานเสวนา New York Times DealBook Summit ที่จัดขึ้นที่นครนิวยอร์ก ในวันพุธที่ 4 ธ.ค. เวลา 13.45 น. ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 5 ธ.ค. เวลา 01.45 น.ตามเวลาไทย โดยก่อนหน้านี้ประธานเฟดได้ส่งสัญญาณจะไม่รีบปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งเป็นสัญญาณการชะลอการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด ทำให้ครั้งนี้ยังคงต้องโฟกัสถ้อยแถลงของประธานเฟดอีกครั้งเกี่ยวกับสัญญาณบ่งชี้ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐ เนื่องจากจะมีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐในวันที่ 17-18 ธ.ค. จะเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของเฟดในปีนี้ และเป็นการเปิดเผย Fed Dot Plot ครั้งสุดท้ายของปีนี้ อย่างไรก็ตาม เรายังคาดว่าเฟดยังคงเดินหน้าปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. โดยเราคาดว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยเพียง 0.25% ลงสู่ระดับ 4.25%-4.50% แต่ที่สำคัญคือ ข้อมูล Dot Plot เดือนธ.ค.ของเฟด และการแถลงของประธานเฟด ที่อาจเห็นสัญญาณของทิศทางดอกเบี้ยในปีหน้า ซึ่งเราคาดว่าอาจมีสัญญาณจากเฟดมาบ้างเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อาจจะชะลอการปรับลดดอกเบี้ยในปีหน้า ด้วยเหตุปัจจัยด้านเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มอาจกลับมาสูงขึ้น และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ภายนอก
ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์
ซึ่งยังคงเป็นประเด็นเรื่องสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามรัสเซียกับยูเครน สงครามในตะวันออกกลาง คาดว่ายังคงร้อนระอุ ด้านสงครามรัสเซีย-ยูเครน คาดว่าในช่วงนี้ยังคงมีแนวโน้มที่รุนแรงมากขึ้น แต่คาดว่ายังไม่ถึงขั้นที่จะก่อให้เกิดสงครามโลก อย่างไรก็ตาม หากทรัมป์ได้เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ อาจจะทำให้สงครามรัสเซีย-ยูเครนลดระดับความตึงเครียดลง ขณะที่สถานการณ์ช่วงนี้ทั้งสองฝ่ายมีการใช้ขีปนาวุธโจมตีกัน ทั้งนี้ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ได้เตือนถึงยูเครนว่า กองทัพรัสเซียกำลังเลือกเป้าหมายในยูเครนเพื่อปฏิบัติการโจมตีเพิ่มเติมโดยใช้ขีปนาวุธพิสัยกลางความเร็วเหนือเสียง โอเรชนิก (Oreshnik) โดยอานุภาพของขีปนาวุธโอเรชนิกว่า “เหมือนอุกกาบาตตก” ทั้งนี้ในอดีตเคยมีทะเลสาบแมนนิกัวแกน (Lake Manicouagan) ในประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นหนึ่งในทะเลสาบขนาดใหญ่ที่สุดที่เกิดจากอุกกาบาตพุ่งชนโลก มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 100 กิโลเมตร ซึ่งอาจจะส่งผลต่อความกังวลจากนักลงทุนเกี่ยวความรุนแรงที่อาจเพิ่มขึ้น จนมีแรงซื้อทองคำเข้ามาได้ ส่วนสงครามในตะวันออกกลาง ขณะที่อิสราเอลยังมีการโจมตีแท่นยิงขีปนาวุธพิสัยกลางของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ทางใต้ของเลบานอน แม้มีข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งสะท้อนถึงสงครามในตะวันออกกลางอาจยังไม่คลี่คลายหรือสงบลงได้ในเร็ววัน
นโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์และการนำเสนอชื่อบุคคลในกระทรวงสำคัญต่างๆ
จับตาว่านายโดนัลด์ ทรัมป์จะนำเสนอชื่อบุคคลใดบ้าง ในกระทรวงสำคัญ โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะแต่งตั้งมาร์โก รูบิโอ ที่จุดยืนของทรัมป์และมาร์โก รูบิโอจะสอดคล้องกัน รูบิโอเป็นหนึ่งในสมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันทั้ง 15 คนในวุฒิสภาที่ลงมติไม่เห็นด้วยกับแพ็คเกจความช่วยเหลือทางทหารมูลค่า 61,000 ล้านดอลลาร์สำหรับยูเครน และยังมีท่าทีที่แข็งกร้าวกับจีน รวมถึงทรัมป์ได้เสนอชื่อ Scott Bessent เป็นรมว.คลังสหรัฐ ส่งผลให้ทองคำลงแรง เนื่องจากนักลงทุนมีความมั่นใจว่า Bessent จะช่วยขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจที่ส่งเสริมความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ จากที่ Scott Bessent มีนโยบายที่สนับสนุนการขึ้นภาษีศุลากรและยกเลิกกฎระเบียบอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้การยกเลิกกฎระเบียบอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อกระตุ้นการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ สร้างความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุนใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยเสริมการเติบโตของ GDP สหรัฐ จึงช่วยลดความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
และแม้ว่า ณ ขณะนี้นายโดนัลด์ ทรัมป์จะยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ แต่ตลาดก็จับตานโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์เป็นอย่างมาก อย่างเช่น นโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก 10% จากสินค้าจีน และ 25% จากสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ส่งผลให้แคนาดาก็อาจตอบโต้กลับโดยเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเช่นกัน และอาจจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคของสหรัฐเอง ขณะที่ทรัมป์ก็ขู่เรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 100% ในกลุ่มประเทศสมาชิกกลุ่มบริกส์ (BRICS) ที่กำลังสนับสนุนสกุลเงินอื่นเพื่อให้มาแทนที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจส่งผลต่อความกังวลจากนักลงทุนเกี่ยวกับการกีดกันการค้าที่รุนแรง หากทรัมป์เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการได้ จึงอาจสร้างแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
จับตาบริเวณแนวต้าน 2,670 ดอลลาร์ หากราคาทองคำสามารถทะลุผ่านขึ้นไปได้อาจปรับตัวขึ้นได้ต่อ แต่ถ้าไม่สามารถผ่านขึ้นไปได้อาจมีแรงเทขายออกมา โดยราคาทองคำมีแนวรับ 2,620 ดอลลาร์ และแนวรับถัดไปที่ 2,570 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาทองคำมีแนวต้าน 2,670 ดอลลาร์ และแนวต้าน 2,700 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองแท่งให้ระวังแรงเทขาย หากไม่ผ่านบริเวณราคา 43,300 บาท โดยมีแนวรับ 42,800 บาท และแนวรับถัดไป 42,600 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 43,300 บาท และ 43,500 บาท