ศึกการค้าเปิดฉาก! สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้า เขย่าเศรษฐกิจ ดันทองพุ่งทะลุ $2,800
Gold Bullish
- ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น
- ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง
- ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจากนโยบายทรัมป์ 2.0 โดยเฉพาะ สงครามการค้า
Gold Bearish
- เฟดชะลอการปรับลดดอกเบี้ย
- แรงขายทองคำหลังเทศกาลตรุษจีน
ศึกการค้าเปิดฉาก! สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้า เขย่าเศรษฐกิจ ดันทองพุ่งทะลุ $2,800
ความกังวลเกี่ยวกับการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้แรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น ดันราคาทองคำพุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All-Time High) และทะลุระดับ 2,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นครั้งแรก โดยในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ดำเนินมาตรการจริงจัง ลงนามคำสั่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีน ซึ่งอาจนำไปสู่สงครามการค้ารอบใหม่ และมีแนวโน้มผลักดันอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น
รายละเอียดมาตรการขึ้นภาษี
ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารกำหนดอัตราภาษีนำเข้าใหม่ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ตามเวลาสหรัฐฯ ของวันที่ 4 ก.พ. หรือตรงกับเวลา 12.01 น. ตามเวลาไทย
- ภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าพลังงานจากแคนาดาในอัตราเพียง 10% เพื่อลดผลกระทบต่อโรงกลั่นน้ำมันและรัฐแถบมิดเวสต์
- ภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 10%
การตอบโต้จากแคนาดาและเม็กซิโก
มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ทำให้แคนาดาและเม็กซิโกตอบโต้ด้วยมาตรการของตนเอง
- แคนาดา ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 25% ครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เสื้อผ้า อุปกรณ์กีฬา และเครื่องใช้ในครัวเรือน รวมถึงน้ำส้มจากฟลอริดา โดยจะเก็บภาษีมูลค่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์แคนาดาในช่วงแรก จากนั้นจะเก็บภาษีสินค้าเพิ่มอีก 1.25 แสนล้านดอลลาร์แคนาดา ภายใน 21 วัน
- เม็กซิโก มอบอำนาจให้รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจใช้มาตรการทั้งภาษีและมิใช่ภาษี เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
อุตสาหกรรมพลังงานและยานยนต์ได้รับผลกระทบหนัก
ข้อมูลจากสำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรสหรัฐฯ ระบุว่า ในปี 2566 สหรัฐฯ นำเข้าน้ำมันดิบจากแคนาดามูลค่าเกือบ 1 แสนล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 1 ใน 4 ของมูลค่านำเข้าทั้งหมดจากแคนาดา การขึ้นภาษีอาจทำให้ต้นทุนพลังงานสูงขึ้น กระทบต่อโรงกลั่นและอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาพลังงานราคาถูก อุตสาหกรรมยานยนต์อาจเผชิญปัญหาห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากชิ้นส่วนรถยนต์ต้องข้ามพรมแดนหลายครั้งก่อนจะประกอบเป็นรถสำเร็จรูป
การละเมิดข้อตกลง USMCA
การขึ้นภาษีนำเข้า 25% อาจขัดต่อข้อตกลงการค้าเสรี USMCA ซึ่งห้ามประเทศสมาชิกขึ้นภาษีนำเข้าโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน ทรัมป์อ้างว่าเป็นการป้องกันการลักลอบนำเข้าแรงงานผิดกฎหมายและยาเสพติด อย่างไรก็ตาม เหตุผลดังกล่าวอาจไม่เพียงพอและอาจทำให้เม็กซิโกและแคนาดายื่นร้องเรียนต่อองค์กรระงับข้อพิพาทภายใต้ USMCA ได้ ทรัมป์อาจใช้มาตรการภาษีเป็นเครื่องมือกดดันให้เม็กซิโกและแคนาดายอมรับเงื่อนไขใหม่ในการทบทวนข้อตกลงการค้า ซึ่งจะมีการทบทวนครั้งแรกในปี 2569
เกิดสงครามการค้า
การขึ้นภาษีและมาตรการตอบโต้จากเม็กซิโกและแคนาดาอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ได้แก่ ราคาสินค้าภายในประเทศสูงขึ้น: ต้นทุนสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้นอาจถูกผลักไปยังผู้บริโภค ส่งผลให้ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปรับตัวสูงขึ้น เงินเฟ้ออาจพุ่งสูงขึ้น และอาจกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือชะลอการปรับลดดอกเบี้ยเพื่อลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม การลงทุนและการจ้างงานได้รับผลกระทบ: ธุรกิจที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าอาจลดการลงทุนหรือปลดพนักงานเพื่อลดต้นทุน
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตึงเครียดขึ้น ความขัดแย้งทางการค้าอาจส่งผลต่อความร่วมมือด้านความมั่นคงและการจัดการยาเสพติดระหว่างประเทศ
แนวโน้มราคาทองคำและกลยุทธ์การลงทุน
ซึ่งในสัปดาห์นี้ยังคงต้องติดตามสงครามการค้าที่จะเกิดขึ้น ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าและเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น อาจทำให้นักลงทุนหันไปถือทองคำมากขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้ราคาทองคำมีทิศทางขาขึ้นในระยะยาว อย่างไรก็ตามระยะสั้นยังคงให้ระวังแรงเทขายทำกำไร จึงแนะนำเข้าซื้อเมื่อราคาทองคำย่อตัวลงมาบริเวณแนวรับ 2,760 ดอลลาร์ และแนวรับ 2,730 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองคำมีแนวต้าน 2,820 ดอลลาร์ และ 2,840 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองคำแท่งในประเทศมีแนวรับ 44,300 บาท และ 44,100 บาท ส่วนแนวต้าน 44,800 บาท และ 45,000 บาท