ทองคำอาจผันผวน ลุ้นผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ
Gold Bullish
- ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น
- ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง
- ทิศทางดอกเบี้ยขาลง
- ความไม่แน่นอนต่อผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
Gold Bearish
- การหยุดซื้อทองคำของธนาคารกลางจีน
ทองคำอาจผันผวน ลุ้นผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ
สัปดาห์นี้มีหลายปัจจัยที่สำคัญที่นักลงทุนต้องติดตาม ได้แก่ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะจัดขึ้นในวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน และการประชุมเฟดในวันที่ 6-7 พฤศจิกายน ซึ่งอาจจะส่งผลต่อราคาทองคำผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เป็นการเลือกตั้งทางอ้อม เป็นการเลือกตั้งผ่าน “คณะผู้เลือกตั้ง” (Electoral College) เพื่อให้ไปทำหน้าที่ออกเสียงเลือกประธานาธิบดีอีกต่อหนึ่ง โดยคะแนนเลือกตั้งมี 2 แบบ เรียกว่า Popular Vote และ Electoral Vote โดยชาวอเมริกาจะเข้าไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งเพื่อลงคะแนนเลือกผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจะเป็น Popular Vote จากนั้นคณะผู้เลือกตั้งจะเลือกประธานาธิบดีอีกทอดหนึ่งเรียกว่า Electoral Vote ทั้งนี้จากผลสำรวจความคิดเห็นทั่วประเทศล่าสุดจาก FiveThirtyEight เผยแฮร์ริสนำทรัมป์อยู่ที่ 48.1% ต่อ 46.7% ส่วนโพลของ The New York Times ชี้ว่า แฮร์ริสมีคะแนนนำทรัมป์อยู่ไม่ถึง 1% แต่คะแนนของโดนัลด์ ทรัมป์ และกมลา แฮร์ริสจะค่อนข้างมีความสูสีอย่างมาก เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยากกว่าการเลือกตั้งสหรัฐในครั้ง ๆ ก่อน แต่เว็บไซด์พนันหลายแห่งได้เปิดเผยผลสำรวจออกมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสทรัมป์จะมีชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ โดยโดนัลด์ ทรัมป์มีคะแนนนำเหนือกมลา แฮร์ริสไปอย่างมาก โดย Polymarket ซึ่งเป็นผู้ให้บริการชั้นนำแห่งหนึ่ง คาดว่าโอกาสที่ทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีกลับมาอยู่ที่ 67% รองจากแฮร์ริสที่ 33% อีกบริษัทหนึ่งคือ Kalshi คาดว่าทรัมป์จะชนะได้ 62% และแฮร์ริสจะชนะได้ 38% ส่วนผลสำรวจล่าสุด จาก realclearpolitics นายโดนัลด์ ทรัมป์ มีคะแนนนำเหนือกมลา แฮร์ริสเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ต้องจับตารัฐสมรภูมิ (swing states) ที่อาจพลิกเกมการเลือกตั้งครั้งนี้ ได้แก่ เพนซิลเวเนีย (Pennsylvania) (19 คะแนน) มิชิแกน (Michigan) (15 คะแนน) วิสคอนซิน (Wisconsin) (10 คะแนน) แอริโซนา (Arizona) (มีคะแนนผู้เลือกตั้ง 11 คะแนน) นอร์ทแคโรไลนา (North Carolina) (16 คะแนน) จอร์เจีย (Georgia) (16 คะแนน) และเนวาดา (Nevada) (6 คะแนน) นักวิเคราะห์ต่างฟันธงว่า คะแนนเสียงจากผู้เลือกตั้งรวม 93 คะแนนใน 7 รัฐชี้ชะตานี้ และนายโดนัลด์ ทรัมป์เคยพลิกล็อกมีชัยชนะในรัฐสมรภูมิสำคัญ ได้แก่ เพนซิลเวเนีย มิชิแกน และวิสคอนซิน ซึ่งล้วนแต่เป็นรัฐที่เคยสนับสนุนพรรคเดโมแครตมาก่อน รวมถึงจอร์เจีย (Georgia) ก็กลายเป็นรัฐสมรภูมิในการเลือกตั้งปีนี้หลังชัยชนะของนายโจ ไบเดนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปี 2563 ทั้งนี้ถ้าพิจารณาผลสำรวจการเลือกตั้งสหรัฐใน swing states พบว่าส่วนใหญ่แล้วนายโดนัลด์ ทรัมป์จะมีคะแนนนำเหนือกมลา แฮร์ริส
ซึ่งหากนายโดนัลด์ ทรัมป์มีชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในครั้งนี้ก็อาจส่งผลบวกต่อราคาทองคำ ด้วยนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์อาจทำให้เกิดหนี้สาธารณะสูงขึ้น จากสหรัฐขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น ต้นทุนแรงงานสูง เกิดกีดกันทางการค้ารุนแรง และมีความเสี่ยงที่จะเกิดเงินเฟ้อสูง ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ทองคำยังคงมีทิศทางปรับตัวขึ้นได้ในระยะยาว นอกจากนี้ จากสถิติของราคาทองคำกับผลการเลือกตั้งสหรัฐที่ผ่านมานั้น พบว่า หากพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ราคาทองคำมักจะปรับตัวขึ้นหลังการเลือกตั้งสหรัฐ แต่หากพรรคแดโมแครตชนะการเลือกตั้งสหรัฐ ราคาทองคำมักจะปรับตัวลงหลังการเลือกตั้งสหรัฐ
ส่วนการประชุมเฟดในวันที่ 6-7 พฤศจิกายน มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดภาระทางเศรษฐกิจ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเช่นนี้มักส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง ทำให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำมากขึ้น โดยนักลงทุนคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้
คาดราคาทองคำอาจผันผวนในสัปดาห์นี้ โดยราคาทองคำมีแนวรับ 2,700 ดอลลาร์ และ 2,680 ดอลลาร์ และราคาทองคำมีแนวต้าน 2,760 ดอลลาร์ และแนวต้าน 2,790 ดอลลาร์ ส่วนแนวโน้มราคาทองแท่งในประเทศผันผวนตามราคาทองคำโลก โดยมีแนวรับ 43,900 บาท และ 43,700 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 44,350 บาท และ 44,550 บาท