2 ปัจจัยที่อาจทำให้ทองคำอาจปรับตัวขึ้นได้ต่อในเดือนม.ค.
Gold Bullish
- ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น
- ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง
- แรงซื้อทองคำก่อนเทศกาลตรุษจีน
Gold Bearish
- เฟดชะลอการปรับลดดอกเบี้ย
2 ปัจจัยที่อาจทำให้ทองคำปรับตัวขึ้นได้ต่อในเดือนม.ค.
ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นแรงตั้งแต่ต้นปี โดยราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นกว่า 0.55% จากสิ้นปีที่ผ่านมา หลังจากที่ปีที่แล้ว ราคาทองคำโลกในปี 2567 ได้ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All-Time high) โดยได้ปรับตัวขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดที่ 2,790 ดอลลาร์ ซึ่งสามารถทำผลตอบแทนมากถึง 35% ส่วนราคาทองคำแท่งในประเทศปรับตัวขึ้นไปกว่า 32.4% ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ มากกว่าช่วงเกิดวิกฤติต่างๆ ในช่วงการเกิด Global Financial Crisis ที่อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 26% และมากกว่าในช่วงการเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่อัตราผลตอบแทน 25% และสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ผลตอบแทน 22% โดยสาเหตุที่ทำให้ปี 2567 ราคาทองคำปรับขึ้นได้สูงมาจาก 1.ประเด็นความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ในการทำสงครามในตะวันออกกลาง และสงครามรัสเซีย-ยูเครน 2.ตลาดมองว่าแนวโน้มดอกเบี้ยที่เป็นขาลง 3.ประเด็นความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่ราคาทองคำมักจะเพิ่มขึ้นก่อนการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม คาดว่ามีแนวโน้มที่ราคาทองคำอาจปรับตัวขึ้นได้ต่อในเดือนม.ค. จาก 2 ปัจจัยดังนี้
ปัจจัยแรก แรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย จากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ จากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค. 2568
โดยนโยบาย “America First” ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอให้จัดเก็บภาษีสินค้านำเข้า ซึ่งก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยกล่าวว่าจะมีการเก็บภาษีนำเข้าที่มากกว่า 60% สำหรับสินค้าทุกชนิดของจีน และอาจยกเว้นสินค้านำเข้าที่จำเป็นของจีน อย่างเช่น สินค้าอิเล็กทอรนิก เหล็ก จนถึงยาไปภายใน 4 ปี และมีการขึ้นภาษี 100% ที่นำเข้ารถยนต์ที่ผลิตในเม็กซิโกของบริษัทจีน ก่อนที่ทรัมป์จะเพิ่มแรงกดดันมากขึ้น ด้วยทรัมป์ได้ประกาศจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก 10% จากสินค้าจีน และ 25% จากสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งอาจทำให้เกิดสงครามการค้า และส่งผลให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้น เกิดภาวะเงินเฟ้อสูง และยังขู่เรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 100% ในกลุ่มประเทศสมาชิกกลุ่มบริกส์ (BRICS) นอกจากนี้นโยบายอื่น ๆ ก็ยังเสี่ยงให้เกิดภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้นเช่นกัน อย่างเช่น นโยบายย้ายถิ่นฐาน การกีดกันผู้อพยพเข้ามาทำงาน อาจส่งผลให้ต้นทุนแรงงานสูงขึ้น และทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นได้ นอกจากนี้ การลดอัตราภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 15% สำหรับบริษัทที่ผลิตสินค้าในสหรัฐฯ แม้อาจกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่ก็เพิ่มการขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะได้ ปัจจุบันสหรัฐฯ มีหนี้สาธารณะ 35 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วน 123% ของจีดีพี ซึ่งนโยบายของทรัมป์เสี่ยงเกิดเงินเฟ้อสูง และมีโอกาสเกิดหนี้สาธารณะสหรัฐเพิ่มขึ้นได้
ปัจจัยต่อมา แรงซื้อทองคำก่อนช่วงเทศกาลตรุษจีน
ก่อนเทศกาลตรุษจีน ตลาดทองคำมักคึกคักจากความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้น ทองคำเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งและโชคลาภในวัฒนธรรมจีน การมอบทองคำ เช่น เครื่องประดับหรือเหรียญนักษัตร ถือเป็นการส่งต่อความโชคดีและเสริมสิริมงคลสำหรับการเริ่มต้นปีใหม่ ด้วยความเชื่อว่าการถือครองทองคำในช่วงตรุษจีนจะช่วยเสริมดวงด้านการเงินและนำพาความร่ำรวยมาตลอดปี ความเชื่อนี้ทำให้การซื้อทองคำก่อนหรือระหว่างเทศกาลตรุษจีนกลายเป็นกิจกรรมสำคัญในหลายครอบครัว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ต้องการเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความมั่งคั่ง นอกจากความต้องการในเชิงวัฒนธรรมแล้ว ทองคำยังมีบทบาทสำคัญในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย นักลงทุนมองว่าตรุษจีนเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมสินทรัพย์ที่มั่นคงเพื่อออมทรัพย์และรักษามูลค่าในระยะยาว ขณะเดียวกัน การเก็งกำไรในระยะสั้นก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นแรงซื้อ เนื่องจากราคาทองคำในช่วงตรุษจีนมักปรับตัวสูงขึ้นจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น จากข้อมูลสถิติย้อนหลัง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าการซื้อทองคำก่อนตรุษจีนและถือครองจนถึงวันเทศกาลมักให้ผลตอบแทนในเชิงบวก โดยเฉพาะหากซื้อทองคำล่วงหน้า 1 เดือน จะมีโอกาสได้ผลตอบแทนเป็นบวกกว่า 6 ครั้งจากทั้งหมด 10 ครั้ง ในขณะที่การซื้อทองคำล่วงหน้าเพียง 1 สัปดาห์ มีโอกาสได้ผลตอบแทนเป็นบวกสูงถึง 7 ครั้งจากทั้งหมด 10 ครั้ง
ทองคำยังคงมีความน่าสนใจในเดือนม.ค. คาดว่าราคาทองคำในเดือนม.ค.ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นได้ต่อ อย่างไรก็ตามให้ระวังแรงเทขายออกมาในช่วงภายหลังเทศกาลตรุษจีน ส่วนสัปดาห์นี้คาดว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวระหว่าง 2,620-2,665 ดอลลาร์ โดยราคาทองคำมีแนวรับ 2,620 ดอลลาร์ หากหลุดจะมีแนวรับถัดไปที่ 2,600 ดอลลาร์ และมีแนวต้านที่ 2,665-2,670 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองคำแท่งในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในกรอบจำกัด โดยมีแนวรับ 43,000 บาท และแนวรับถัดไป 42,800 บาท ส่วนแนวต้าน 43,500-43,600 บาท