สถิติทองคำปรับตัวขึ้นกว่า 6.38% หลังทรัมป์รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐภายหลัง 3 เดือน
Gold Bullish
- ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น
- ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง
- แรงซื้อทองคำก่อนเทศกาลตรุษจีน
- ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ จากนโยบายทรัมป์ 2.0
Gold Bearish
- เฟดชะลอการปรับลดดอกเบี้ย
สถิติทองคำปรับตัวขึ้นกว่า 6.38% หลังทรัมป์รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐภายหลัง 3 เดือน
สัปดาห์นี้ทั่วโลกต่างจับตาการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการของนายโดนัลด์ ทรัมป์ในวันที่ 20 ม.ค.2025 นายโดนัลด์ ทรัมป์จะกล่าวคำสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ในเวลา 12.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือเวลาเที่ยงคืนตามเวลาไทย ที่บริเวณหน้าอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ หลังจากนั้นคาดว่าอาจมีนโยบายภายใต้การทำงานของรัฐบาลนายโดนัลด์ ทรัมป์ 100 วันหลังจากที่ทรัมป์ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐออกมา ไม่ว่าจะเป็น นโยบายลดภาษีนิติบุคคลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การเก็บภาษีนำเข้าสินค้า การจัดการปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ รวมถึงอาจมีคำสั่งที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมากขึ้นในการจับกุมผู้อพยพที่ไม่มีประวัติอาชญากรรม ส่งทหารเพิ่มเติมไปยังชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก และเริ่มการก่อสร้างกำแพงชายแดนอีกครั้ง
ทั้งนี้ นโยบายทรัมป์ 2.0 จะสร้างความปั่นป่วนให้เศรษฐกิจโลกขนาดไหน และจะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำอย่างไร หากดูข้อมูลสถิติของราคาทองคำในช่วงที่ทรัมป์ได้มีการชนะการเลือกตั้งในช่วงเดือนพ.ย.2016 และภายหลังที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค.2017 พบว่า
ราคาทองคำมักปรับตัวลง ภายหลังที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม มีความน่าสนใจตรงที่ภายหลังที่ทรัมป์ได้มีการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการนั้น ภายหลัง 1-6 เดือน ราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาทองคำปรับตัวขึ้นกว่า 6.38% ภายหลัง 3 เดือนที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และปรับตัวขึ้นกว่า 3.30% ภายหลัง 6 เดือนที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ทั้งนี้เนื่องมาจากราคาทองคำมักได้รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและความคาดหวังต่อนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ โดยในปีช่วงทรัมป์ที่เป็นประธานาธิบดีสหรัฐในช่วงแรก สะท้อนให้เห็นว่า “ทรัมป์” คือความไม่แน่นอน และทองคำมักจะชอบความไม่แน่นอน โดยช่วงที่ทรัมป์รับตำแหน่งนั้นทำให้นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งนโยบายที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศในช่วงหาเสียง เช่น “America First” และการสร้างกำแพงกีดกันทางการค้ากับประเทศจีน รวมถึงการถอนตัวจากข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ (เช่น ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก Trans-Pacific Partnership (TPP) ได้สร้างความวิตกกังวลต่อเศรษฐกิจโลก ความไม่แน่นอนเหล่านี้กระตุ้นให้นักลงทุนแสวงหาสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) อย่างทองคำเพื่อปกป้องความเสี่ยงทางการเงิน
นอกจากนี้ การประกาศลดภาษีสำหรับภาคธุรกิจและชนชั้นกลาง รวมถึงแผนกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน แม้จะมีผลเชิงบวกในระยะยาว แต่ในช่วงแรกกลับสร้างความกังวลต่อการขยายตัวของหนี้สาธารณะสหรัฐฯ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น รวมถึง การดำเนินนโยบายต่างประเทศในลักษณะที่เผชิญหน้า เช่น การข่มขู่คว่ำบาตรประเทศคู่ค้าอย่างจีนและเม็กซิโก หรือการยกระดับความขัดแย้งกับเกาหลีเหนือ ทำให้นักลงทุนเกิดความกลัวเกี่ยวกับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risks) ที่อาจทวีความรุนแรงในระดับโลก ส่งผลให้ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2017 ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากตลาดการเงินยังไม่มั่นใจว่าทรัมป์จะสามารถผลักดันนโยบายที่เขาประกาศได้สำเร็จ นอกจากนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในช่วงต้นปี แม้จะเป็นปัจจัยหนุนค่าเงินดอลลาร์ แต่ผลกระทบในเชิงบวกกลับถูกหักล้างด้วยความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการกลับมาของทรัมป์ในรอบนี้ อาจสร้างผลบวกกับราคาทองได้อีกครั้ง
คาดว่าสัปดาห์นี้ราคาทองคำอาจผันผวน โดยราคาทองคำมีแนวรับ 2,680 ดอลลาร์ หากหลุดจะมีแนวรับถัดไปที่ 2,650 ดอลลาร์ และมีแนวต้านที่ 2,725 ดอลลาร์ และ 2,740 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองคำแท่งในประเทศอาจผันผวนเช่นกัน โดยมีแนวรับ 43,850 บาท และแนวรับถัดไป 43,600 บาท ส่วนแนวต้าน 44,200 บาท และแนวต้าน 44,500 บาท