ปีหน้าทองคำ All-Time high ต่อ
จากปัจจัยที่ต้องติดตามในปี 2568
Gold Bullish
- ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น
- ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง
- ทิศทางดอกเบี้ยขาลง
Gold Bearish
- การหยุดซื้อทองคำของธนาคารกลางจีน
- แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า
- เฟดชะลอการปรับลดดอกเบี้ย
ปีหน้าทองคำ All-Time high ต่อ จากปัจจัยที่ต้องติดตามในปี 2568
ราคาทองคำในปีนี้ได้ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All-Time high) จากปัจจัยหนุนดอกเบี้ยขาลง ความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงครามที่ร้อนระอุในตะวันออกลาง สงครามรัสเซียและยูเครน และแรงซื้อทองคำสำรองจากธนาคารกลางทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้ราคาทองคำโลกได้ปรับตัวขึ้นไปว่า 27.08% ส่วนราคาทองคำแท่งในประเทศปรับตัวขึ้นไปกว่า 25.85% ซึ่งถือว่าเป็นปีที่ดีของทองคำ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องติดตามกันต่อไปในปี 2568 เกี่ยวกับปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาทองคำอย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้
นโยบาย 100 วันของนายโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากที่ทรัมป์ได้รับตำแหน่ง
นายโดนัลด์ ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค. 2568 โดยนโยบายที่ทรัมป์หาเสียงก่อนหน้านี้ มี 5 นโยบายหาเสียงของพรรครีพับลิกันที่สำคัญ ได้แก่ ลดอัตราภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 15% สำหรับบริษัทที่ผลิตสินค้าในสหรัฐฯ เนื่องจากฐานคะแนนเสียงของพรรคมาจากกลุ่มคนที่มีรายได้สูง การแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ ลดราคาพลังงานเสนอให้มีการเพิ่มการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในประเทศเพิ่มขึ้น และกีดกันผู้อพยพเข้ามาทำงาน เนื่องจากมองว่าทำให้ค่าที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น นโยบายการค้า นโยบายของทรัมป์คือ America First เสนอให้จัดเก็บภาษีสินค้านำเข้า ทรัมป์เรียกร้องให้มีการเจรจาสันติภาพระหว่างยูเครนและรัสเซีย ไม่ให้เงินสนับสนุนยูเครนเพิ่มและคัดค้านกฎหมายช่วยเหลือในรัฐสภา อย่างไรก็ตามในช่วงต้นปี 2568 ยังต้องติดตามนโยบายภายใต้การทำงานของรัฐบาลนายโดนัลด์ ทรัมป์ 100 วันหลังจากที่ทรัมป์ได้รับตำแหน่ง ทรัมป์จะเน้นนโยบายอันไหนบ้างที่ทรัมป์จะทำก่อน โดยคาดว่า หนึ่งในนั้น ทรัมป์คงเร่งจัดการปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ และการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนเป็นอันดับแรกๆ ซึ่งในช่วงการหาเสียง ทรัมป์กล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาสามารถยุติสงครามรัสเซียได้ภายใน 24 ชั่วโมงหากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี หากถามถึงชาวอเมริกาต้องการให้ทรัมป์จัดการเรื่องอะไรก่อนเป็นอันดับแรก โดยโพลสำรวจจากรอยเตอร์/อิปซอสส์ เปิดเผยว่า ชาวอเมริกันมองว่าเงินเฟ้อเป็นประเด็นสำคัญที่สุดที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ควรจัดการในช่วง 100 วันแรกหลังเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค. 2568 โดยระบุว่า 35% ของผู้ตอบแบบสำรวจเลือกเงินเฟ้อเป็นเรื่องที่ทรัมป์ควรให้ความสำคัญ รองลงมาคือ 30% ที่ระบุว่าควรให้ความสำคัญกับนโยบายคนเข้าเมือง และ 27% ระบุว่าทรัมป์ควรให้ความสำคัญกับการจ้างงานและเศรษฐกิจโดยรวม
ดอกเบี้ยขาลงอาจจบเร็วกว่าที่คาด เฟดชะลอการปรับลดดอกเบี้ยสหรัฐในปีหน้า
จากข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นดัชนี CPI, PPI หรือ Core PCE ของสหรัฐฯ แม้ว่าจะเห็นสัญญาณการชะลอตัวของของอัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม ก็ยังถือว่าเงินเฟ้อสหรัฐยังคงอยู่ในระดับสูง และสูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ 2% ทั้งนี้จึงต้องจับตานโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ ที่แม้ยังคงเป็นทิศทางดอกเบี้ยขาลง แต่ด้วยเงินเฟ้อยังอยู่ที่ระดับสูง และด้วยนโยบายอื่น ๆ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดเงินเฟ้อสูง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มข้อจำกัดผู้อพยพ ที่อาจสร้างให้ต้นทุนแรงงานสูงขึ้น หรือแม้แต่การเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ซึ่งการใช้นโยบายกำแพงภาษีที่เข้มงวด ซึ่งทรัมป์เคยให้คำมั่นว่าจะเก็บภาษีอย่างมากกับสินค้านำเข้าจากจีน อาจทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากบริษัทจะผลักภาระต้นทุนภาษีไปยังผู้บริโภค ซึ่งอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นอีกครั้ง แล้วด้วยนโยบายของภายใต้รัฐบาลของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เรายังคาดการณ์ว่า ดอกเบี้ยขาลงจะจบลงเร็วกว่าที่ตลาดคาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า การใช้นโยบายกำแพงภาษีที่เข้มงวดที่ทรัมป์จะนำมาใช้จริง ทรัมป์มีแผนจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นสินค้าอะไรบ้าง หากทรัมป์เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นสินค้าที่สามารถผลิตได้ในสหรัฐอยู่แล้ว อาจจะส่งผลต่อ affect ทางเศรษฐกิจสหรัฐน้อยกว่า
ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์
แม้ว่าทรัมป์เคยกล่าวไว้ว่าจะคุยกับปูตินเพื่อยุติสงครามภายใน 24 ชม.หลังจากที่ทรัมป์ได้รับตำแหน่ง ซึ่ง ณ ตอนนี้ต้องยอมรับว่า สงครามรัสเซียและยูเครนมีแนวโน้มร้อนระอุและรุนแรงมากขึ้นในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามว่าทรัมป์จะทำได้จริงหรือไม่ เนื่องจากเราคาดว่าสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนอาจลดความร้อนแรงลง แต่สงครามอาจจะยังไม่ยุติได้อย่างทันที ทั้งนี้ต้องดูทีท่าของสหภาพยุโรปที่อาจเป็นอีกหนึ่งตัวแปรหนึ่งที่ทำให้สงครามรัสเซียและยูเครนยังไม่ยุติลง อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่คาดว่าอาจยังร้อนระอุ และแนวโน้มรุนแรงขึ้น รวมถึงความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับไต้หวันเช่นกัน
คาดธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเดินหน้าเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง
ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง โดยมีการเข้าซื้อสุทธิติดต่อกันกว่า 17 เดือนนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2566 จนถึงต.ค.2567 ทั้งนี้อินเดีย ตุรกี และโปแลนด์เป็นผู้นำในการซื้อสุทธิในปีนี้ ขณะที่ปีหน้ายังคาดว่าธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเดินหน้าเข้าซื้อทองคำต่อ โดยเฉพาะจับตากลุ่มประเทศในกลุ่ม BRICS เนื่องจากการเข้าซื้อทองคำของกลุ่ม BRICS เป็นกลยุทธ์สำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ และปูทางสู่การสร้างสกุลเงินสำรองใหม่ในอนาคต ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจโลกที่กำลังดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าระยะสั้นราคาทองคำอาจปรับตัวลง แต่ในเชิงระยะยาวนั้น ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อและทำ All-Time High อีกครั้งในปีหน้า โดยมีโอกาสพุ่งทะลุ 3,000 ดอลลาร์ สู่ระดับ 3,000-3,100 ดอลลาร์ในปีหน้า ซึ่งเป้าหมายของราคาทองคำโลกอยู่ที่ 3,000-3,100 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองแท่งในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในระยะยาวเช่นกัน โดยมีเป้าหมายของราคาทองคำแท่งอยู่ที่ 49,800-51,400 บาท