ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักในวันอังคาร (3 ก.ย.) หลังจากมีรายงานว่าภาคการผลิตของสหรัฐฯ หดตัวลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้ตลาดวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากเท่าใด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 40,936.93 จุด ลดลง 626.15 จุด หรือ -1.51%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,528.93 จุด ลดลง 119.47 จุด หรือ -2.12% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,136.30 จุด ลดลง 577.33 จุด หรือ -3.26%
ดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีต่างก็ปิดร่วงลงเป็นเปอร์เซ็นต์ในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนส.ค.ปีนี้ ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังมีรายงานว่าภาคการผลิตของสหรัฐฯ หดตัวลงอย่างต่อเนื่อง
สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) เปิดเผยว่าดัชนีภาคการผลิตเดือนส.ค.ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 47.2 จากระดับ 46.8 ในเดือนก.ค.ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2566 แต่ดัชนีภาคการผลิตเดือนส.ค.อยู่ในระดับต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 47.5 นอกจากนี้ ดัชนีที่อยู่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตอยู่ในภาวะหดตัว และเป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5
ทางด้านเอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยข้อมูลในทิศทางเดียวกันว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ปรับตัวลงสู่ระดับ 47.9 ในเดือนส.ค. จากระดับ 49.6 ในเดือนก.ค. โดยดัชนี PMI อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตสหรัฐฯ อยู่ในภาวะหดตัว และเป็นการหดตัวติดต่อกันเดือนที่ 2
ดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ พุ่งขึ้น 33.2% ปิดที่ระดับ 20.72 จุด ซึ่งเป็นระดับสุงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนส.ค.ปีนี้
เจสัน บราวน์ ประธานบริษัท Alexis Investment Partners ในรัฐเท็กซัส กล่าวว่า เมื่อพิจารณาจากข้อมูลย้อนหลังไปจนถึงทศวรรษที่ 1950 เดือนก.ย.ถือเป็นหนึ่งในเดือนที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กทำผลงานย่ำแย่ที่สุด
ขณะที่ข้อมูลจาก FactSet ระบุว่า เดือนก.ย.มักจะเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวย่ำแย่ที่สุดของปี โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ดัชนี S&P500 ร่วงลงเฉลี่ย 2.3% ในเดือนก.ย.
FactSet ยังระบุด้วยว่า ในปีนี้ซึ่งเป็นปีที่มีการเลือกตั้งในสหรัฐฯ จะทำให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กยิ่งมีแนวโน้มดิ่งลงในเดือนก.ย. เนื่องจากนักลงทุนมักจะเทขายหุ้นออกมาอย่างหนักในเดือนก.ย.และเดือนต.ค.ในปีเลือกตั้ง ก่อนที่จะกลับเข้าซื้อหุ้นในไตรมาส 4
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งลง 4.43% ตามด้วยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง 2.41%
หุ้น 7 บริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูง หรือกลุ่ม “Magnificent Seven” ร่วงลงทั้งหมด นำโดยหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ร่วงลงเกือบ 10% ส่งผลให้มาร์เก็ตแคปของอินวิเดียทรุดตัวลง 2.79 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 2.65 ล้านล้านดอลลาร์ โดยมาร์เก็ตแคปของอินวิเดียร่วงลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์
ส่วนหุ้นไมโครซอฟท์ (Microsoft) ร่วงลง 1.75%, หุ้นแอปเปิ้ล (Apple) ร่วงลง 2.7%, หุ้นอัลฟาเบท (Alphabet) ดิ่งลง 3.6%, หุ้นอะเมซอน (Amazon) ลดลง 1.26%, หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) ร่วงลง 1.83%
หุ้นเทสลา (Tesla) ร่วงลง 1.6% หลังจากสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เทสลาวางแผนที่จะผลิตรถยนต์รุ่น Model Y แบบ 6 ที่นั่งในประเทศจีน โดยจะเริ่มตั้งแต่ปลายปี 2568
หุ้นโบอิ้ง (Boeing) ดิ่งลง 7.3% หลังจากนักวิเคราะห์ของเวลส์ ฟาร์โก (Wells Fargo) ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทนุของหุ้นโบอิ้งลงสู่ระดับ “Underweight” จากระดับ “Equalweight”
นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้อย่างใกล้ชิด ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 164,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. หลังจากเพิ่มขึ้นเพียง 114,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. และอัตราว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 4.2% ในเดือนส.ค. จากระดับ 4.3% ในเดือนก.ค.
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์