เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้จัดแถลงข่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายการเงินเมื่อวานนี้ (7 พ.ย.) โดยที่ประชุมเฟดมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงอีก 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75%
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ในการแถลงข่าวครั้งนี้ พาวเวลได้แสดงความพอใจกับภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในขณะนี้ และยังกล่าวด้วยว่าเขาจะไม่ลาออกจากตำแหน่งประธานเฟด แม้ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกร้องให้เขาทำเช่นนั้นก็ตาม
ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเขาจะลาออกหรือไม่หากทรัมป์ขอให้ลาออก พาวเวลกล่าวว่า “ไม่” และผู้สื่อข่าวถามว่าประธานาธิบดีมีอำนาจที่จะปลดหรือลดตำแหน่งเขาหรือไม่ พาวเวลกล่าวว่าการกระทำดังกล่าว “ไม่ได้รับอนุญาตภายใต้กฎหมายของสหรัฐฯ”
พาวเวลกล่าวว่า ในระยะสั้นนี้ ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของทรัมป์จะไม่ส่งผลโดยตรงต่อนโยบายการเงินของเฟด
อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในด้านการบริหารอาจมีผลทำให้นโยบายของเฟดเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เฟดพยายามเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ย
“โดยหลักการแล้ว เป็นไปได้ว่านโยบายใด ๆ ของฝ่ายบริหารหรือนโยบายที่กำหนดโดยสภาคองเกรสอาจมีผลกระทบทางเศรษฐกิจในระยะยาว ดังนั้น เมื่อพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายด้านแล้ว การคาดการณ์ผลกระทบทางเศรษฐกิจเหล่านั้นจะถูกรวมอยู่ในแบบจำลองเศรษฐกิจของเรา และจะถูกนำมาพิจารณาด้วย” พาวเวลกล่าว
พาวเวลได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการคลังของสหรัฐฯ โดยระบุว่านโยบายการคลังอยู่ในทิศทางที่ไม่ยั่งยืน โดยการขาดดุลที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐฯ และนโยบายการคลังโดยรวมยังคงเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจ
ส่วนในด้านนโยบายการเงินของเฟดนั้น พาวเวลกล่าวว่า นโยบายการเงินยังคงอยู่ในระดับที่คุมเข้ม พร้อมกับกล่าวว่าแม้ข้อมูลเศรษฐกิจที่เปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้จะออกมาในเชิงบวก แต่เฟดยังคงพยายามที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเนื่องจากนโยบายการเงินยังคงอยู่ในระดับที่คุมเข้ม
ทั้งนี้ พาวเวลย้ำว่า คณะกรรมการเฟดมองว่าการลดต้นทุนการกู้ยืมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับภารกิจ Dual Mandate ของเฟด คือการจ้างงานที่ขยายตัวอย่างเต็มศักยภาพและอัตราเงินเฟ้อที่เคลื่อนตัวสู่เป้าหมายที่ระดับ 2%
“เราคิดว่า แม้ว่าเราได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ แต่นโยบายการเงินของเฟดก็ยังคงอยู่ในระดับที่คุมเข้ม” พาวเวลกล่าว
นอกจากนี้ พาวเวลกล่าวว่า นโยบายการเงินของเฟดยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสมในการรับมือกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์