ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 1,000 จุดในวันพุธ (18 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ตามคาด แต่ส่งสัญญาณชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า โดยดาวโจนส์ปิดในแดนลบติดต่อกัน 10 วันทำการ ซึ่งเป็นสถิติการปิดลบที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2517
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,326.87 จุด ลดลง 1,123.03 จุด หรือ -2.58%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,872.16 จุด ลดลง 178.45 จุด หรือ -2.95% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,392.69 จุด ลดลง 716.37 จุด หรือ -3.56%
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.25% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเมื่อวานนี้ตามคาด แต่ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) นั้น เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2568 ลงเพียง 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.50% จากเดิมที่ส่งสัญญาณในเดือนก.ย.ว่าจะปรับลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 1.00% ในปี 2568
นอกจากนี้ เฟดได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าเฟดจะชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า เมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจและตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง รวมทั้งเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เฟดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2567, 2568, 2569 และ 2570 ที่ระดับ 2.5%, 2.1%, 2.0% และ 1.9% ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดการณ์ในเดือนก.ย.ว่าจะขยายตัว 2.0% ทุกปี
ทางด้านเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดกล่าวในระหว่างการแถลงข่าวว่า เฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา แต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอนาคตนั้น จะเป็นไปอย่างระมัดระวังและจะขึ้นอยู่กับว่าเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงหรือไม่ ซึ่งถ้อยแถลงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าเฟดเริ่มตระหนักถึงความเป็นไปได้ที่ภาวะเศรษฐกิจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายใต้การบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับ 4.51% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค. หลังจากเฟดออกแถลงการณ์ดังกล่าว ส่วนดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกกังวลของนักลงทุนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก พุ่งขึ้น 74% แตะระดับ 27.62 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ร่วงลง 4.74% และ 3.97% ตามลำดับ
หุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบล็อกเชนร่วงลง หลังจากพาวเวลเปิดเผยว่า เฟดไม่ได้รับอนุญาตให้ถือครองบิตคอยน์ และเฟดจะไม่ได้พยายามผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้สามารถถือครองบิตคอยน์ได้ โดยหุ้นไมโครสตราเทจี (Microstrategy) ร่วงลง 9.5% หุ้นเอ็มเออาร์เอ โฮลดิงส์ (MARA Holdings) ดิ่งลง 12.1% หุ้นคอยน์เบส (Coinbase) ร่วงลง 10.2% หุ้นไรออต แพลตฟอร์มส์ (Riot Platforms) ร่วงลง 14.46%
นักลงทุนจับตาสภาคองเกรสสหรัฐฯ เตรียมลงมติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวในวันศุกร์นี้ โดยหากร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภา ก็จะส่งผลให้หน่วยงานของรัฐบาลต้องปิดดำเนินการ (ชัตดาวน์) ตั้งแต่วันเสาร์นี้
ที่มา สํานักข่าวอินโฟเควสท์