สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (24 ต.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 19.50 ดอลลาร์ หรือ 0.71% ปิดที่ 2,748.90 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 4.40 เซนต์ หรือ 0.13% ปิดที่ 33.795 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 3.90 ดอลลาร์ หรือ 0.38% ปิดที่ 1,033.60 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 99.20 ดอลลาร์ หรือ 9.32% ปิดที่ 1,163.90 ดอลลาร์/ออนซ์
ราคาทองได้ปัจจัยบวกจากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง และความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พ.ย. นอกจากนี้ ราคาทองคำยังได้แรงหนุนจากคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงินทั้งในเดือนพ.ย.และธ.ค.
ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 93.0% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมเดือนพ.ย. และให้น้ำหนัก 69.8% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนธ.ค.
นักวิเคราะห์จาก SS WealthStreet ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยระบุว่า “สำหรับในช่วงที่เหลือในปี 2567 เราคาดว่าราคาทองคำจะพุ่งแตะระดับ 2,800 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนเป้าหมายในปี 2568 อยู่ที่ระดับ 3,000 ดอลลาร์ หรือสูงกว่านั้น โดยได้แรงหนุนจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ วงจรการผ่อนคลายนโยบายการเงินของสหรัฐฯ และแรงซื้อทองคำจากธนาคารกลางทั่วโลก”
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์